SlideShare a Scribd company logo
1 of 42
Download to read offline
The Call of Cthulhu
เสียงเพรียกจากคธูลู
เสียงเพรียกจากคธูลู
The Call of Cthulhu
H. P. Lovecraft
H. P. Lovecraft
บัญญพนต์ พูลสวัสดิ แปล
์
คำนำ
ในบรรดาผลงานอันล้นหลามของเอช.พี. เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) นิยายสั้นเรื่อง "The
Call of Cthulhu" หรือ "เสียงเรียกแห่งคธูลู" นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่โด่งดังและ
ทรงอิทธิพลที่สุด เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับอสูรกายโบราณนามว่า "คธูลู" ที่หลับใหลอยู่
ใต้ท้องทะเลลึก ได้สร้างความหวาดกลัวและจินตนาการอันล้ำลึกแก่ผู้อ่านมาเนิ่นนาน การแปล
วรรณกรรมเรื่อง "เสียงเรียกแห่งคธูลู" สู่ภาษาไทยครั้งนี้ เป็นความพยายามที่จะนำเสนอผลงาน
อันทรงพลังของเลิฟคราฟท์ให้กับผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์การอ่านที่น่าตื่นเต้น
และน่าสะพรึงกลัว
การแปลวรรณกรรมเรื่องนี้ เต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ประการแรก ภาษาของเลิฟ
คราฟท์นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปด้วยคำศัพท์โบราณ สำนวนภาษาที่ซับซ้อน
และบรรยายถึงสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ซึ่งยากที่จะถ่ายทอดความหมายได้อย่างครบถ้วน
ประการที่สอง เนื้อหาของเรื่องเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าโบราณ สถานที่
และนามบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจบริบทของเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้แปลพยายามอย่างเต็มที่ที่จะถ่ายทอดความงดงามของภาษาและความน่า
สะพรึงกลัวของเนื้อหาให้คงไว้มากที่สุด รวมไปถึงการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ
ในเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยสามารถเข้าใจและดื่มด่ำกับเรื่องราวได้อย่างเต็มอรรถรส
หวังว่าการแปลวรรณกรรมเรื่อง "เสียงเรียกแห่งคธูลู" ครั้งนี้ จะเป็นการเปิดประตูสู่โลกอันน่า
พิศวงของเอช.พี. เลิฟคราฟท์ ให้กับผู้อ่านชาวไทย ที่ชื่นชอบ หรือเริ่มต้นศึกษา และหาแนวทาง
วรรณกรรมต่อยอดการออกแบบได้เข้าถึงจินตนาการของผู้ประพัน์กับชิ้นงานอันเป็นตำนานได้
อย่างเพลิดเพลินไม่รู้ลืม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์
ประวัติของ H.P. Lovecraft
โฮเวิร์ด ฟิลิปส์ เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft)
กำเนิด: 20 สิงหาคม พ.ศ. 2433 เสียชีวิต: 15 มีนาคม พ.ศ. 2480
อาชีพ: นักเขียนนิยาย
ผลงานเด่น:
• ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos)
• เรื่องสั้น "The Call of Cthulhu"
• เรื่องสั้น "The Colour Out of Space"
ชีวประวัติ: เกิดที่เมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอส์แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ชอบอ่าน
หนังสือตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะวรรณกรรมสยองขวัญ เริ่มเขียนนิยายตั้งแต่อายุ 14 ปี เริ่มเต้นตีพิมพ์ผลงานใน
นิตยสาร Weird Tales ผลงานส่วนใหญ่เป็นนิยายสยองขวัญ ผสมผสานกับนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซี สร้าง
ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos) จักรวาลเทพเจ้าโบราณที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว ผลงานของเขาไม่ได้รับความ
นิยมมากนักในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ จนกระทั่ง เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
อิทธิพลงานเขียนของเลิฟคราฟท์ ผลงานของเลิฟคราฟท์มีอิทธิพลต่อนักเขียนนิยายสยองขวัญรุ่นหลังมากมาย
ปรากฏในสื่อบันเทิงหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์ วิดีโอเกม บอร์ดเกม แนวคิด "ความกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก"
ของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักสร้างสรรค์ผลงานสยองขวัญมาจนถึงปัจจุบัน
สารบัญ
เสียงเรียกจากคธูลู The Call of Cthulhu By H. P. Lovecraft............................................................................2
ตอนที่ 1 ความสยองในรูปปั้นดินเหนียว ..................................................................................................................3
ตอนที่ 2 คดีของสารวัตรเลอกราสส์......................................................................................................................11
ตอนที่ 3 ความบ้าคลั่งจากท้องทะเล......................................................................................................................23
สรุปเรื่องราวของ เสียงเรียกจากคธูลู (The Call of Cthulhu).............................................................................35
เสียงเรียกคธูลู: การตีความทางการเมือง...............................................................................................................36
-2 -
เสียงเรียกจากคธูลู
The Call of Cthulhu By H. P. Lovecraft
(เอกสารฉบับนี้ พบในเอกสารของผู้ล่วงลับ ฟรานซิส เวย์แลนด์ เธอร์สตัน แห่งบอสตัน)
“พลังอำนาจลึกลับจากสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังในอดีตกาล อาจยังคงหลงเหลือรอดชีวิต ผ่าน
กาลเวลานับแสนนับล้านปี รอคอยการค้นพบ จิตสำนึกเหนือกว่าความเข้าใจของมนุษย์แห่ง
โบราณกาล อาจสิงสถิตอยู่ในรูปแบบหลากหลายสิ่งที่สูญหายไปนาน ก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะก้าว
เข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนา ตำนานและบทกวี บันทึกเรื่องราวของพวกมัน ราวกับเป็นเศษเสี้ยวความ
ทรงจำจากอดีตกาล” —อัลเจอร์นอน แบล็ควูด
-3 -
ตอนที่ 1
ความสยองในรูปปั
้ นดินเหนียว
สิ่งที่เมตตาที่สุดในโลกนี้ ผมคิดว่าคงเป็นการที่จิตใจของมนุษย์นั้นไร้ซึ่งความสามารถในการ
เชื่อมโยงทุกสิ่งที่มารวมบรรจบกันได้ พวกเราอาศัยอยู่บนเกาะแห่งความไม่รู้ที่สงบสุข
ท่ามกลางมหาสมุทรอันลึกและมืดมิดยาวไกลไม่สิ้นสุด และไม่ได้ถูกลิขิตให้เดินทางไกลออกไป
เหล่าศาสตร์ความรู้ ต่างมุ่งหน้าไปในเส้นทางของตนเอง ที่ผ่านมาทำร้ายเราน้อยมาก แต่สักวัน
หนึ่งการรวบรวมชิ้นส่วนความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน จะเปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัว
ทั้งหลาย และตำแหน่งน่าหวาดกลัวของเราที่อยู่ในนั้น จนเราต้องสติแตกจากการความจริงที่
ประจักษ์ หรือหลบหนีจากแสงสว่างอันร้ายกาจนั้น เข้าสู่ความสงบและปลอดภัยของยุคมืดที่
จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
เหล่านักปรัชญาเทวนิยม (Theosophists)1 ได้คาดเดาถึงความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของ
วงจรแห่งจักรวาล อันที่โลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราเป็นเพียงเหตุการณ์อันฉาบฉวย พวกเขา
ได้กล่าวเป็นนัยถึงการดำรงอยู่ของสิ่งแปลกประหลาด ในถ้อยคำที่จะทำให้เลือดแข็งตัวหาก
ปราศจากการมองโลกในแง่ดีที่ซ้ำซาก แต่มิใช่จากพวกเขาเหล่านั้น ที่นำมาซึ่งเศษเสี้ยวความรู้
ต้องห้ามแห่งห้วงเวลาต้องห้ามซึ่งทำให้ผมเย็นยะเยือกเมื่อคิดถึงมัน และแทบบ้าคลั่งเมื่อได้ฝัน
ถึงมัน เศษเสี้ยวของความรู้เช่นเดียวกับความจริงอันน่าหวาดกลัวทั้งหลาย ได้ปรากฏออกมา
จากการประกอบรวมบังเอิญของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน – ในกรณีนี้มาจากบทความ
หนังสือพิมพ์เก่า ๆ และบันทึกของศาสตราจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ผมหวังว่าจะไม่มีใครได้
ประกอบรวมข้อมูลเหล่านี้ได้อีกเลย และที่แน่ๆ หากผมยังมีชีวิต ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองมาเป็น
ตัวเชื่อมโยงให้ห่วงโซ่น่าสะพรึงกลัวนี้สมบูรณ์เด็ดขาด ผมคิดว่าศาสตราจารย์ก็ตั้งใจจะปิดปาก
เงียบไม่เอ่ยถึงส่วนที่เขารู้ด้วย และเขาคงทำลายบันทึกของเขาไปแล้ว หากไม่ได้เกิดการ
เสียชีวิตกะทันหันขึ้นเสียก่อน การรับรู้ของผมเกี่ยวกับสิ่งนั้น เริ่มต้นขึ้นในฤดูหนาวของปี ค.ศ.
1926-1927 เมื่อ จอร์จ แกมเมลล์ แองเจลล์ อาจารย์ใหญ่กิตติมศักดิ์ ภาษากลุ่มเซมิติก แห่ง
มหาวิทยาลัยบราวน์ พรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ถึงแก่กรรม ท่านศาสตราจารย์ แองเจลล์ เป็น
1
Theosophists หมายถึงนักศึกษาหรือสาวกของลัทธิเทวนิยม เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานหลายๆ ศาสตร์ เช่น ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าใจธรรมชาติของ
พระเจ้าและจุดกำเนิดของจักรวาล
-4 -
ที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกโบราณ มักได้รับการติดต่อจากผู้อำนวยการ
พิพิธภัณฑ์ชั้นนำอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้นการจากไปของท่านในวัย 92 ปี จึงเป็นที่จดจำของหลายคน ในท้องถิ่น ความสนใจทวี
ความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุการตายที่ยังคลุมเครือท่านศาสตราจารย์ล้มลงขณะ
เดินทางกลับจากเรือที่นิวพอร์ต พยานเล่าว่า ท่านล้มลงอย่างกะทันหัน หลังจากถูกชายผิวสี
รูปร่างคล้ายชาวเรือ ที่โผล่ออกมาจากตรอกมืดลาดชันบนเนินเขาเบียด ทรัพย์สินใดๆ ไม่สูญ
หาย แพทย์ไม่สามารถหาความผิดปกติที่ชัดเจนได้ แต่หลังจากการถกเถียงกันอย่างงุนงง,
สรุปว่าอาจเป็นเพราะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากการเดินขึ้นเนินเขาที่สูงชันสำหรับชายชราภาพ
เช่นท่าน ในตอนนั้น ผมไม่เห็นเหตุผลที่จะคัดค้านคำตัดสินนี้ แต่หลังจากนั้น ผมเริ่มสงสัย -
มากขึ้น มากกว่าคำว่าสงสัยเสียอีก
ในฐานะทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของลุงผู้ล่วงลับไปโดยไร้บุตร และภรรยา ตามหน้าที่ ผม
จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารของท่านอย่างละเอียด ดังนั้น ผมจึงย้ายแฟ้มและกล่องเอกสาร
ทั้งหมดของท่านมาเก็บไว้ที่พักของผมในบอสตัน ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผมได้รวบรวมไว้นี้ สมาคม
โบราณคดีอเมริกันจะนำไปเผยแพร่ในภายหลัง แต่ทว่ามีกล่องหนึ่งที่ผมรู้สึกสับสนอย่างมาก
และไม่อยากให้ใครเห็นเลย มันถูกล็อกไว้ และผมหาแม่กุญแจไม่เจอ จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่า
ลองตรวจสอบแหวนประจำตัวที่ท่านศาสตราจารย์เคยพกติดตัวดู ปรากฏว่าผมไขกล่องออกได้
สำเร็จ แต่พอเปิดออก กลับเหมือนเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และล็อกแน่นหนาขึ้นไปอีก เพราะว่า
ภาพนูนต่ำประหลาดบนแผ่นดินเหนียว และข้อเขียน บันทึก และเศษกระดาษที่ไม่ต่อเนื่องกัน
พวกมันมีความหมายว่าอะไรกัน? ในช่วงบั้นปลายชีวิต ลุงของผมกลายเป็นคนหลงเชื่อเรื่องงม
งายไร้สาระไปแล้วหรือ? ผมตั้งใจจะตามหาชิ้นงานจากประติมากรผู้แปลกประหลาดผู้ต้อง
รับผิดชอบต่อเรื่องวุ่นวายสับสนที่เกิดขึ้นกับความสงบสุขของชายชราคนนี้
รูปทรงนูนต่ำนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหยาบๆ มีความหนาไม่ถึงนิ้ว กว้างประมาณห้านิ้ว ยาว
ประมาณหกนิ้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นงานยุคสมัยใหม่แต่ลวดลายบนแผ่นกลับดูไม่ทันสมัยเอามากๆ
ทั้งบรรยากาศและสัญลักษณ์ แม้ศิลปะแบบลูกบาศก์ (Cubism) และลัทธิอนาคตนิยม
(Futurism) จะมีรูปแบบแปลกประหลาดและหลุดโลก แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความสม่ำเสมอที่
ลึกลับแบบตัวเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งลวดลายส่วนใหญ่บนแผ่นนี้ดูเหมือนจะเป็น
ตัวเขียนบางประเภทอย่างแน่นอน ถึงแม้ผมจะคุ้นเคยกับเอกสารและสะสมของลุงเป็นอย่างดี
แต่ความทรงจำของผมก็ไม่สามารถยืนยันชนิดของตัวเขียนนี้ หรือแม้แต่จะบอกใบ้ถึงความ
เกี่ยวข้องที่ห่างไกลได้เลย
-5 -
เหนือสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนตัวอักษรโบราณนี้
มีรูปร่างที่ชัดเจนว่าเป็นภาพ แม้การวาดจะ
สไตล์อิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ทำ
ให้เดาได้ยากว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร มันดู
เหมือนสัตว์ประหลาดบางชนิด หรือ
สัญลักษณ์แทนสัตว์ประหลาด ที่มีรูปร่างซึ่ง
จินตนาการที่ป่วยไข้เท่านั้นถึงจะนึกออกได้
ถ้าผมบอกว่าจินตนาการอันค่อนข้างเพ้อฝัน
ของผมนึกภาพหมึกยักษ์ มังกร และภาพ
ล้อเลียนมนุษย์พร้อมๆ กัน ก็คงไม่ผิดเพี้ยนไป
จากรูปลักษณ์นั้น
หัวที่มีหนวดเนื้อนิ่ม อยู่บนร่างกายแปลกประหลาดมีเกล็ดพร้อมปีกเล็กๆ แต่รูปทรงโดยรวม
ต่างหากที่ทำให้มันน่ากลัวอย่างน่าขนลุก เบื้องหลังรูปปั้นนั้น มีเค้าโครงรางๆ ของ
สถาปัตยกรรมแบบไซคลอปส์ (Cyclopean)
เนื้อหาที่แนบมาด้วยกับของแปลกประหลาดนี้ นอกเหนือจากกองของบทความตัดแปะจาก
หนังสือพิมพ์แล้ว เป็นลายมือล่าสุดของศาสตราจารย์แองเจลล์ ที่ไม่ได้เป็นบทประพันธ์หรือแต่ง
แต้มสไตล์วรรณกรรมลงไป มีเพียงสิ่งที่ดูเหมือนเอกสารหลักมีหัวข้อว่า “ลัทธิคธูลู” โดยใช้
ตัวอักษรที่พิมพ์อย่างพิถีพิถันเพื่อหลีกเลี่ยงการอ่านผิดคำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้นฉบับ
แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกมีหัวข้อว่า “1925 - ความฝันและการวิเคราะห์ความฝันของ เอช.
เอ. วิ ลค็อกซ์, 7 ถนนโทมัส, พรอวิเดนซ์, รัฐโรดไอแลนด์” ส่วนที่สองมีหัวข้อว่า “คำบอก
เล่าของสารวัตรจอห์น อาร์. เลอแกรส, 121 ถนนเบียนวิลล์, นิวออร์ลีนส์, รัฐลุยเซียนา,
ประชุม สมาคมวิทยาศาสตร์อเมริกัน ปี ค.ศ. 1908 - บันทึกเพิ่มเติม และ บันทึกของ
ศาสตราจารย์เว็บบ์” เอกสารต้นฉบับอื่น ๆ ล้วนเป็นโน้ตสั้น ๆ บางส่วนเป็นบันทึกความฝัน
แปลกประหลาดของบุคคลต่าง ๆ บางส่วนเป็นการอ้างอิงจากหนังสือและวารสารแนวเทวโซฟี
(โดยเฉพาะแอตแลนติสและเลมูเรียที่สาบสูญของ ว. สกอตต์-เอลเลียต) และที่เหลือเป็น
ความเห็นเกี่ยวกับสมาคมลับและลัทธิซ่อนเร้นที่อยู่รอดมายาวนาน พร้อมการอ้างอิงข้อความ
ในแหล่งข้อมูลด้านเทพนิยายและมานุษยวิทยา เช่น กิ่งทองคำของ เฟรเซอร์ และ ลัทธิแม่มด
ในยุโรปตะวันตกของมิส เมอร์เรย์ บทความตัดแปะส่วนใหญ่กล่าวถึงโรคทางจิตที่แปลก
ประหลาดและการระบาดของความบ้าคลั่งหรือความคลั่งไคล้เป็นกลุ่มในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.
1925
-6 -
เนื้อหาแรกของต้นฉบับสำคัญเล่าเรื่องประหลาดอันหนึ่ง ดูเหมือนว่าวันที่ 1 มีนาคม 1925 ชาย
หนุ่มผิวเข้ม รูปร่างผอมเพรียว ท่าทางตื่นเต้นประสาท ตกมาเยี่ยมศาสตราจารย์แองเจลล์ โดย
ถือปฏิมากรรมดินเผาปูนนูนต่ำรูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งยังเปียกชื้นและสดใหม่มาก บัตรของ
เขามีชื่อว่า เฮนรี่ แอนโทนี วิลค็อกซ์ อาจารย์ของผมจำได้ว่าเขาเป็นลูกชายคนเล็กของ
ครอบครัวที่ค่อนข้างดี ซึ่งอาจารย์รู้จักผิวเผิน เขาเคยเรียนปั้นที่วิทยาลัยศิลปะและออกแบบ
โรดไอแลนด์ และอาศัยอยู่คนเดียวที่แฟลอร์-เดอ-ลิส บิลดิ้ง ใกล้ๆ วิทยาลัย วิลค็อกซ์เป็นหนุ่ม
ฉลาดล้ำหน้า มีพรสวรรค์เป็นที่ประจักษ์แต่มีนิสัยแปลกประหลาด ผู้คนให้ความสนใจเขามา
ตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเรื่องราวประหลาดและความฝันแปลกๆ ที่เขามักเล่าให้คนอื่นฟัง เขาเรียก
ตัวเองว่า “อ่อนไหวทางจิต” (Psychically Hyper Sensitive)2 แต่คนเมืองค้าขายอนุรักษ์
นิยม มักมองว่าเขา “แปลก” เขาไม่ค่อยเข้าสังคมกับคนอื่น พอๆ กับที่เขาค่อยๆ หายไปจาก
สังคม ปัจจุบันมีเพียงกลุ่มนักสุนทรียศาสตร์จากเมืองอื่นๆ เท่านั้นที่รู้จักเขา แม้แต่สโมสรศิลปะ
พรอวิเดนซ์ ซึ่งต้องการรักษาความอนุรักษ์นิยมของตัวเอง ก็ยังมองว่าเขาไร้ประโยชน์
ในโอกาสที่มาเยี่ยม ศาสตราจารย์เล่าว่า ช่างแกะสลักถามเกี่ยวกับความรู้ทางโบราณคดีของ
เจ้าบ้านอย่างฉับพลัน เพื่อระบุอักษรอียิปต์โบราณ (ไฮโรกลิฟฟิค) บนภาพแกะสลักนูนต่ำ เขา
พูดด้วยลักษณะชวนฝันและประดิษฐ์ที่บ่งบอกถึงความพยายามสร้างภาพลักษณ์และเรียกร้อง
ความเห็นอกเห็นใจ ลุงของผมตอบกลับด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เพราะความใหม่เอี่ยมของ
แผ่นภาพนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับโบราณคดีเลย คำตอบโต้ของวิลคอกซ์หนุ่ม ซึ่งสร้างความ
ประทับใจให้ลุงของผมมากพอจะจำและบันทึกมันไว้ได้ทั้งประโยค มีเนื้อหาเป็นบทกวีที่แปลก
ประหลาด อันน่าจะเป็นเอกลักษณ์การสนทนาของเขา และภายหลังผมก็พบว่ามันแสดงถึง
ตัวตนของเขาได้อย่างมาก เขาตอบว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งใหม่มาก เพราะผมสร้างมันเมื่อคืนจาก
ความฝันถึงเมืองอันแปลกประหลาด เมืองที่ฝันถึงนั้นเก่าแก่ยิ่งกว่าเมืองไทร์ (Trye)3 ตำ
นานสฟิงซ์ผู้ใคร่ครวญ4 หรือแม้แต่บาบิโลนเมืองแห่งสวนล้อม5”
ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเล่าเรื่องราวเรื่อยเปื่อยซึ่งไปปลุกเร้าความทรงจำที่หลับใหลของลุงผมและ
ดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง เรื่องมีอยู่ว่าคืนก่อนหน้านั้นเกิดแผ่นดินไหวเบาๆนับว่ารุนแรง
2
Psychically Hyper Sensitive ในปี ค.ศ. 1997 คู่สามีภรรยานักวิจัยชาวอเมริกัน ดร. อาเธอร์ แอรอน และดร. เอเลน แอรอน ได้ทำการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพกับ
กลุ่มตัวอย่างจำนวน 39 คน และทำการวิจัยเชิงปริมาณในกลุ่มตัวอย่าง 900 คน โดยได้พบว่า หัวใจของบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูง หรือ HSP คือ ความลึกในการ
ประมวลผลข้อมูล (depth of processing) นั่นคือ บุคคลที่เป็น HSP จะมีความสามารถในการครุ่นคิดหรือประมวลผลสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบกับผัสสะต่าง ๆ ได้ละเอียด
ลึกซึ้งกว่าปกติ ทำให้ HSP มีแนวโน้มที่จะมีความคิดสร้างสรรค์สูง คิดลึกซึ้ง มีประสาทรับสัมผัสที่ไวกว่าปกติ และรับรู้เข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นได้ดีเป็นพิเศษ
3
Brooding Tyre เมืองท่าที่เก่าแก่ของฟีนิเซีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเลบานอน)
4
Contemplative Sphinx สฟิงซ์ในตำนานอียิปต์ สื่อถึงปริศนาและภูมิปัญญา
5
Garden-girdled Babylon กรุงบาบิโลนที่มีชื่อเสียงเรื่องสวนลอยแห่งบาบิโลน หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
-7 -
ที่สุดในนิวอิงแลนด์ในรอบหลายปี จินตนาการของวิลค็อกซ์ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนที่เข้า
นอน เขามีฝันที่แปลกประหลาดเห็นเมืองไซคลอปส์ขนาดใหญ่ที่สร้างจากบล็อกหินยักษ์และ
เสาหินขนาดมหึมาทิ่มแทงฟ้าทุกอย่างเปรอะไปด้วยน้ำเมือกสีเขียวและแฝงความสยองขวัญน่า
สะพรึงไว้ตัวหนังสืออียิปต์โบราณ
ปกคลุมไปทั่วกำแพงและเสาจากจุดที่กำหนดไม่ได้เบื้องล่างมีเสียงที่ไม่ใช่เสียงดังขึ้นมาเป็น
ความรู้สึกสับสนอลหม่านที่จินตนาการเท่านั้นที่สามารถแปลงเป็นเสียงได้แต่เขาพยายามถ่าย
ทอดมันออกมาด้วยกลุ่มตัวอักษรที่แทบจะออกเสียงไม่ได้ว่า "คธูฮูลู ฟทากน"
ข้อความปะปนนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นความทรงจำอันน่าตื่นเต้นและรบกวนจิตใจ
ของศาสตราจารย์แองเจิล ท่านสอบถามประติมากรด้วยความพิถีพิถันในฐานะนักวิทยาศาสตร์
และศึกษาภาพนูนต่ำนูนสูงที่ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังปั้นอยู่อย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เขาตื่นขึ้นมา
อย่างมึนงงในสภาพสวมเพียงชุดนอน ลุงของผมโทษวัยชราของเขา วิคค็อกซ์เล่าในภายหลัง ว่า
เป็นสาเหตุที่ท่านช้าในการจำได้ทั้งอักษรโบราณและลวดลายภาพ ประเด็นคำถามจำนวนมาก
ของท่านดูไร้สาระสำหรับแขกคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามที่พยายามเชื่อมโยงเขากับลัทธิ
หรือนิกายลึกลับ และวิคค็อกซ์ไม่สามารถเข้าใจคำสัญญาลับที่ท่านเสนอซ้ำๆ เพื่อแลกกับการ
ยอมรับว่าเป็นสมาชิกขององค์กรลึกลับ หรือนิกายนอกรีตที่แพร่หลาย เมื่อศาสตราจารย์แอง
เจิลแน่ใจว่าประติมากรไม่ได้รู้จักลัทธิหรือระบบความรู้ลึกลับใดๆ ท่านก็รบเร้าแขกด้วยการขอ
รายงานความฝันในอนาคต สิ่งนี้เกิดผลเป็นประจำ เพราะหลังจากการพบกันครั้งแรก บันทึก
ต้นฉบับระบุว่าชายหนุ่มมาเยี่ยมทุกวัน ในระหว่างนั้น เขาเล่าเรื่องราวภาพฝันยามค่ำคืนที่น่า
สะพรึง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือทิวทัศน์ไซคลอปอันน่าสยดสยอง ประกอบด้วยหินกร้านมืดและ
เปียกชุ่ม มีเสียงหรือสติปัญญาใต้ดินตะโกนซ้ำซากอย่างน่าขนลุก โดยสื่อความหมายที่
คลุมเครือจนไม่อาจบันทึกได้นอกเสียจากจะเป็นคำไร้สาระ เสียงที่เกิดซ้ำบ่อยที่สุดสองเสียง
คือ เสียงที่แทนด้วยตัวอักษร "คธึลฮู" และ ริเลย์ (R’lyeh) "
ในบันทึกที่เขียนไว้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ระบุว่า วิลค็อกซ์ไม่มาตามนัด และจากการสอบถามไป
ยังที่พัก พบว่าเขาป่วยด้วยไข้ประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถระบุได้ และถูกพาไปยังบ้านครอบครัว
ของเขาที่ถนนวอเตอร์แมน เขาละเมอในตอนกลางคืน ปลุกให้ศิลปินคนอื่นๆ ในอาคารตื่นขึ้น
นับจากนั้น เขาก็แสดงอาการหมดสติและเพ้อสลับกันไป โทรศัพท์ถึงครอบครัวของเขาและ
ติดตามอาการของเขาอย่างใกล้ชิด โดยหมอที่รักษาคือนายแพทย์โทบี้ ซึ่งลุงของผมได้ติดต่อ
สอบถามอาการบ่อยครั้ง
-8 -
ดูเหมือนว่าจิตใจที่อ่อนล้าของชายหนุ่มผู้นี้กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งแปลกประหลาด และหมอก็รู้สึก
หวาดกลัวเป็นครั้งคราวเมื่อพูดถึงมัน อาการของชายหนุ่มไม่เพียงแต่รวมถึงการพูดถึงสิ่งที่เขา
ฝันถึงก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ยังพูดอย่างคลุ้มคลั่งถึงสิ่งมีชีวิตมหึมา "สูงหลายไมล์" ที่เดินหรือ
เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอีกด้วย เขาไม่เคยบรรยายถึงสิ่งมีชีวิตนี้อย่างละเอียด แต่คำพูดที่บ้า
คลั่งเป็นช่วงๆ ถูกถ่ายทอดซ้ำโดยนายแพทย์โทบี้ ซึ่งทำให้ลุงของผมเชื่อว่าต้องเป็นสัตว์
ประหลาดไร้ชื่อตัวเดียวกันกับที่หลานของเขาพยายามสื่อออกมาทางรูปปั้นในฝัน คุณหมอเสริม
ว่าการอ้างอิงถึงสิ่งมีชีวิตนี้มักจะเป็นช่วงก่อนที่ชายหนุ่มจะหมดสติไป สิ่งที่แปลกคืออุณหภูมิ
ร่างกายของเขากลับไม่สูงเกินกว่าระดับปกติมากนัก แต่อาการโดยรวมบ่งชี้ว่าเขาเป็นไข้
มากกว่าที่จะมีปัญหาทางจิต
ในวันที่ 2 เมษายน เวลาประมาณบ่ายสามโมง อาการเจ็บป่วยของวิลค็อกซ์ได้หายไปอย่าง
กะทันหัน เขานั่งตัวตรงบนเตียงด้วยความประหลาดใจที่พบว่าตัวเองอยู่ที่บ้านโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
ว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งในฝันหรือในความเป็นจริง ตั้งแต่คืนวันที่ 22 มีนาคม แพทย์ประกาศว่าเขา
หายดีแล้วและเขาได้กลับไปยังที่พักอาศัยภายในสามวัน แต่สำหรับศาสตราจารย์แองเจิลล์แล้ว
วิลค็อกซ์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมได้อีกต่อไป ร่องรอยของความฝันแปลก ๆ ได้
หายไปพร้อมกับอาการป่วยของเขา และลุงของผมก็ไม่ได้เก็บข้อมูลบันทึกความคิดตอน
กลางคืนหลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภาพนิมิตธรรมดา ๆ ที่ไม่มีสาระสำคัญอะไร
เนื้อหาต้นฉบับจบลงตรงนี้ แต่การอ้างอิงถึงบันทึกโน๊ตที่กระจัดกระจายบางส่วนกระตุ้น
ความคิดของผมมากมาย – มากมายจนในความเป็นจริง แล้วเฉพาะความคลางแคลงใจที่ฝังราก
ลึก ซึ่งขณะนั้นกำลังก่อตัวเป็นปรัชญาของผม เท่านั้นที่สามารถอธิบายความไม่ไว้วางใจศิลปินผู้
นี้ต่อไปได้ โน้ตที่เป็นประเด็นคือโน้ตที่บรรยายความฝันของบุคคลต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกันกับ
ที่วิลค็อกซ์หนุ่มได้รับประสบการณ์แปลกประหลาด ดูเหมือนว่าลุงของผมได้ดำเนินการ
สอบถามอย่างรวดเร็วในวงกว้าง ไปยังเพื่อนเกือบทุกคนที่เขาสามารถถามได้โดยไม่เสียมารยาท
ขอรายงานความฝันประจำคืนของพวกเขา และวันที่ของภาพนิมิตที่สำคัญใดๆ ในช่วงเวลาที่
ผ่านมา การตอบรับคำขอของเขาดูเหมือนจะแตกต่างกันไป แต่เขาน่าจะได้รับคำตอบมากกว่า
ที่คนธรรมดาคนไหนจะจัดการได้โดยไม่ต้องมีเลขานุการ บันทึกการติดต่อฉบับแรกไม่ได้รับการ
เก็บรักษาไว้ แต่โน้ตของเขารวบรวมเนื้อหาที่ครบถ้วนและมีความสำคัญจริงๆ คนทั่วไปในสังคม
และธุรกิจ - "แก่นแท้ของแผ่นดิน" แบบดั้งเดิมของนิวอิงแลนด์ - ให้ผลลัพธ์ที่เป็นลบเกือบ
ทั้งหมด แม้จะมีกรณีประปรายของความประทับใจยามค่ำคืนที่ไม่สบายใจแต่ไร้รูปแบบ ปรากฏ
อยู่ประปราย เสมอระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึง 2 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่วิลค็อกซ์หนุ่มมีอาการ
เพ้อ นักวิทยาศาสตร์ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเล็กน้อย แม้ว่าจะมีสี่กรณีที่มีคำอธิบายคลุมเครือ
-9 -
บ่งบอกถึงเงามืดสลัวๆ ของภูมิทัศน์แปลกประหลาด และในกรณีหนึ่งมีการกล่าวถึงความกลัว
บางสิ่งที่ผิดปกติ
คำตอบที่ชัดเจนกลับกลายเป็นมาจากเหล่าศิลปินและนักกวี และผมรู้ว่าความตื่นตระหนกคง
จะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายหากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก
ไม่มีจดหมายต้นฉบับของพวกเขา ผมสงสัยครึ่งๆ กลางๆ ว่าผู้รวบรวมข้อมูลอาจตั้งคำถามนำ
หรือแก้ไขจดหมายโต้ตอบเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เขาตั้งใจไว้เบื้องต้น นั่นคือเหตุผลที่ผมยังคงรู้สึกว่า
วิลค็อกซ์ ด้วยเหตุผลบางประการ ที่รับรู้ข้อมูลเก่าที่ลุงของผมมีอยู่นั้น กำลังหลอกลวง
นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอยู่ คำตอบเหล่านี้จากนักสุนทรียศาสตร์เล่าเรื่องราวที่น่ารำคาญ
ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 2 เมษายน ศิลปินและนักกวีจำนวนมากฝันถึงสิ่งแปลก
ประหลาด ความรุนแรงของความฝันนั้นรุนแรงขึ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในช่วงที่ประติมากรมี
อาการเพ้อ ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ที่รายงานอะไรบางอย่าง รายงานภาพและเสียงเบาๆ ไม่ต่าง
จากสิ่งที่วิลค็อกซ์อธิบาย และผู้ฝันบางคนสารภาพว่ากลัวสิ่งไร้ชื่อขนาดยักษ์ที่มองเห็นได้ในช่วง
หลัง กรณีหนึ่ง ซึ่งบันทึกย่ออธิบายไว้ด้วยความเน้นย้ำนั้นน่าเศร้ามาก บุคคลนั้นเป็นสถาปนิกที่
มีชื่อเสียงซึ่งมีความโน้มเอียงไปทางเทวโซฟีและลัทธิความลับ ได้กลายเป็นบ้าอย่างรุนแรงใน
วันที่วิลค็อกซ์มีอาการชัก และเสียชีวิตไปหลายเดือนต่อมาหลังจากกรีดร้องขอให้ช่วยเหลือจาก
ปีศาจที่หลุดออกมาจากนรก หากลุงของผมอ้างถึงกรณีเหล่านี้ด้วยชื่อแทนที่จะใช้แค่หมายเลข
ผมคงจะพยายามยืนยันข้อมูลและสืบสวนด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากเป็นเช่นนั้น ผมจึงสามารถ
ติดตามได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยืนยันบันทึกย่อได้อย่างครบถ้วน ผม
มักจะสงสัยอยู่เสมอว่า บุคคลทั้งหมดที่ถูกศาสตราจารย์ซักถาม รู้สึกสับสนเหมือนกับกลุ่ม
ตัวอย่างนี้หรือไม่ เป็นการดีที่คำอธิบายใดๆ จะไม่มีวันไปถึงพวกเขา
ตามที่ผมได้ใบ้ไปแล้ว บทความตัดแปะจากหนังสือพิมพ์ ได้กล่าวถึงกรณีของอาการตื่น
ตระหนกหมู่, ความคุ้มคลั่ง และพฤติกรรมแปลกประหลาด ในช่วงเวลาดังกล่าว แน่นอนว่า
ศาสตราจารย์แองเจิล คงต้องใช้บริการบริษัทเก็บรวบข่าวตัด เพราะจำนวนบทความนั้น
มหาศาล และแหล่งที่มาอยู่กระจัดกระจายไปทั่วโลก
ที่ลอนดอน มีข่าวคราวการฆ่าตัวตายยามค่ำคืน ชายผู้เดียวดึงตัวกระโดดออกจากหน้าต่าง
หลังจากร้องเสียงกรี๊ดน่ากลัว
เช่นเดียวกันกับจดหมายไร้สาระที่ส่งถึงบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ในอเมริกาใต้ ผู้คลั่ง
ศาสนาผู้นี้ทำนายอนาคตที่เลวร้ายจากภาพนิมิตที่เขาเห็น
-10 -
▪ รายงานจากแคลิฟอร์เนีย บรรยายถึงชุมชนลัทธิเทวโซฟี ที่สวมชุดขาวกันทั้งหมู่ เพื่อ
รอคอย “ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์” ที่ไม่เคยมาถึง ขณะที่ข่าวจากอินเดีย รายงานอย่าง
ปิดบังเกี่ยวกับความไม่สงบของชาวพื้นเมืองอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนมีนาคม
▪ พิธีกรรมลึกลับของลัทธิวูดูมีเพิ่มมากขึ้นในเฮติ และป้อมปราการต่างๆ ในแอฟริกา
รายงานเสียงบ่นพึมพำที่ไม่เป็นลางดี
▪ เจ้าหน้าที่อเมริกันในฟิลิปปินส์ พบว่าบางเผ่าก่อความรำคาญในช่วงเวลานี้ และตำรวจ
นิวยอร์ก ถูกชาวเลเวนต์ (ชาวตะวันออกกลาง) ที่เป็นโรคฮิสทีเรียรุมล้อม ในคืนวันที่
22-23 มีนาคม
▪ ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ ก็เต็มไปด้วยข่าวลือและตำนานที่แปลกประหลาด
เช่นเดียวกับ Ardois-Bonnot จิตรกรแนวแฟนตาซี ชาวฝรั่งเศส ได้จัดแสดงภาพเขียน
“Dream Landscape” ที่ดูหมิ่นศาสนา ในงานนิทรรศการศิลปะปารีส ฤดูใบไม้ผลิ ปี
1926
▪ และมีรายงานเรื่องราวความเดือดร้อนมากมายในสถานพยาบาลโรคจิต เพียง
ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะหยุดยั้งกลุ่มแพทย์จากการสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันที่แปลก
ประหลาด และวาดข้อสรุปที่สับสน รวบรวมบทความแปลกประหลาดมากมาย;
และ ในวันนี้ผมแทบจะนึกภาพความคิดเหตุผลที่ผมได้ทิ้งมันไว้ข้างหลังแต่ตอนนั้นไม่ออกเลย
ผมได้แต่เชื่อมั่นว่าพ่อหนุ่มวิลค็อกซ์ คงจะรู้เรื่องราวเก่าๆ ที่ศาสตราจารย์ได้กล่าวถึง
-11 -
ตอนที่ 2
คดีของสารวัตรเลอกราสส์
เนื้อหาที่เหลือจากต้นฉบับยาวของลุงผม ซึ่งรูปปั้นและภาพนูนต่ำของประติมากรทำให้มี
ความสำคัญนั้น เป็นหัวข้อในช่วงครึ่งหลังทั้งหมด ครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น ดูเหมือนว่า
ศาสตราจารย์แองเจิล เคยเห็นภาพร่างอันน่าสยดสยองของสัตว์ประหลาดไร้ชื่อ สับสนกับ
อักษรโบราณที่ไม่รู้จัก และได้ยินพยางค์อักษรที่ไม่เป็นมงคล ซึ่งแปลได้เพียงว่า “คธึลฮู”
เท่านั้น; และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงที่น่าหวั่นไหวและน่ากลัว จึงไม่น่าแปลกใจที่
เขาไล่ล่าวิลค็อกซ์หนุ่มด้วยคำถามและความต้องการข้อมูล
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1908 สิบเจ็ดปีก่อนหน้านั้น เมื่อสมาคมโบราณคดี
อเมริกันจัดการประชุมประจำปีที่เซนต์หลุยส์ ศาสตราจารย์แองเจิล ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิและ
ความสำเร็จที่เหมาะสม มีบทบาทสำคัญในทุกการพิจารณา; และเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ถูก
ติดต่อจากคนนอกหลายคนที่ใช้ประโยชน์จากการประชุมเพื่อเสนอคำถามสำหรับการตอบที่
ถูกต้องและปัญหาสำหรับการแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญ
บุคคลสำคัญของคนนอกกลุ่มนี้ และกลายเป็นจุดสนใจของการประชุมในเวลาอันรวดเร็ว คือ
ชายวัยกลางคนรูปลักษณ์ธรรมดา เดินทางมาไกลตั้งแต่ นิวออร์ลีนส์ เพื่อต้องการข้อมูลพิเศษ
บางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากแหล่งท้องถิ่น ชายคนนี้ชื่อ จอห์น เรย์มอนด์ เลอแกรส เป็น
อาชีพสารวัตรตำรวจ เขามาพร้อมกับสิ่งของที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของเขา นั่นคือรูป
ปั้นหินโบราณที่น่าขยะแขยะน่าสะพรึงใจ ไร้ที่มาที่ไปชัดเจน อย่าเข้าใจผิดว่าสารวัตรเลอแกรส
สนใจโบราณคดีเลย ตรงกันข้าม ความต้องการคำอธิบายของเขามีแรงจูงใจมาจากเหตุผลด้าน
การทำงาน ล้วนๆ รูปปั้น รูปเคารพ วัตถุมงคล หรืออะไรก็ตามที่มันเป็น ถูกยึดมาได้หลาย
เดือนก่อนหน้านี้ บริเวณป่าพรุทางใต้ของนิวออร์ลีนส์ ระหว่างการเข้าจู่โจมลัทธิบูดูที่คาดว่าจะ
มีพิธีกรรม และพิธีกรรมที่แปลกประหลาดน่าสยดสยองที่เกี่ยวข้องกับมัน ทำให้ตำรวจไม่
สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาบังเอิญไปเจอกับลัทธิอันมืดมิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และชั่วร้ายยิ่ง
กว่าแม้กระทั่งกลุ่มบูดูของแอฟริกาที่เลื่องลือในความมืดมน นอกเหนือจากเรื่องเล่าที่แปลก
ประหลาดและไม่น่าเชื่อถือซึ่งบังคับเอามาจากสมาชิกที่ถูกจับกุม พวกเขาไม่สามารถค้นพบ
อะไรเกี่ยวกับที่มาของมันได้เลย ดังนั้นความวิตกกังวลของตำรวจจึงอยู่ที่ความรู้ด้าน
-12 -
โบราณวัตถุใดๆ ที่อาจช่วยให้พวกเขาสามารถระบุสัญลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้ และผ่านมัน
ไปสู่การติดตามลัทธิไปจนถึงต้นตอ
สารวัตรเลอกราสส์แทบตั้งตัวไม่ติดกับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหลังจากที่ยื่นสิ่งของนั้นออกไป
เพียงแค่เห็นมันแวบเดียว บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็ตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวขั้นสุด และพวก
เขาไม่รอช้าที่จะเบียดเสียดกันเข้ามาดูร่างอันเล็กน้อยนั้น ความแปลกประหลาดและกลิ่นอาย
แห่งยุคโบราณที่อธิบายไม่ได้ ได้บ่งบอกถึงดินแดนลึกลับและโบราณที่ยังไม่มีใครค้นพบ ไม่มี
รูปแบบการแกะสลักใดที่สามารถจำแนกรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของรูปปั้น แต่ดูเหมือนจะ
มีอายุย้อนไปนับหลายศตวรรษหรือกระทั่งพันปีที่ถูกจารึกไว้บนพื้นผิวหินสีเขียวคล้ำที่ไม่อาจ
ระบุที่มาได้
รูปปั้นนั้นถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างช้าๆ เพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาอย่างใกล้ชิด
และละเอียด รูปปั้นนี้มีความสูงประมาณเจ็ดถึงแปดนิ้ว ผลงานศิลปะประณีตบรรจงอย่างยิ่ง
มันแสดงถึงสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์อย่างเลือนลาง แต่มีหัวเหมือนปลาหมึก หน้า
เป็นมวลของหนวด เส้นผมเป็นเกล็ด ดูคล้ายยางพารา ลำตัวอ้วนพี มีกรงเล็บขนาดมหึมาทั้ง
เท้าหน้าและเท้าหลัง ปีกยาวแคบอยู่ด้านหลัง สิ่งมีชีวิตนี้ดูเหมือนเต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่น่า
กลัวและผิดธรรมชาติ มันมีรูปร่างอ้วนพีและยองกายอย่างชั่วร้ายอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยมหรือแท่น
ประดับด้วยตัวอักษรที่ถอดรหัสไม่ได้ ปลายปีกแตะขอบด้านหลังของแท่น ที่นั่งอยู่ตรงกลาง
ในขณะที่กรงเล็บยาวโค้งของขาหลังที่งอและหมอบอยู่ จับขอบด้านหน้าและยื่นลงมาประมาณ
หนึ่งในสี่ของด้านล่างของแท่น หัวคล้ายปลาหมึกโน้มไปข้างหน้า ทำให้ปลายหนวดสัมผัสกับ
หลังเท้าหน้าขนาดใหญ่ที่กอดเข่าของสิ่งมีชีวิตที่หมอบอยู่ ลักษณะโดยรวมนั้นเหมือนมีชีวิต
ผิดปกติ และน่ากลัวยิ่งขึ้นเพราะแหล่งที่มาของมันไม่เป็นที่รู้จักเลย อายุที่เก่าแก่ มหาศาล น่า
เกรงขาม และประเมินค่ามิได้นั้นชัดเจน; แต่ไม่มีส่วนใดที่แสดงความเชื่อมโยงกับศิลปะ
ประเภทใดที่เป็นที่รู้จักในช่วงวัยเยาว์ของอารยธรรม หรือแม้กระทั่งในยุคอื่น วัสดุของมันแยก
ออกจากกันโดยสิ้นเชิง เป็นปริศนา หินสีดำอมเขียว สบู่ มีลายเส้นและรอยขีดสีทองหรือ
เหลือบรุ้ง ซึ่งไม่เหมือนกับสิ่งใดที่คุ้นเคยในแวดวงธรณีวิทยาหรือแร่วิทยา ตัวอักษรตามฐานนั้น
ก็สร้างความสับสนเช่นกัน ไม่มีสมาชิกคนใดที่ปรากฏ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้
ครึ่งหนึ่งของโลกในด้านนี้อยู่ด้วย แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะนึกถึงความสัมพันธ์ทางภาษาที่
ห่างไกลที่สุดได้ ตัวอักษรเหล่านั้น เช่นเดียวกับเนื้อหาและวัสดุ ล้วนเป็นของบางสิ่งที่ห่างไกล
และแตกต่างจากมนุษยชาติอย่างที่เรารู้จักอย่างน่ากลัว บางสิ่งที่ชวนให้นึกถึงวัฏจักรชีวิต
เก่าแก่และไม่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งโลกของเราและความคิดของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
-13 -
แม้ว่าทุกคนต่างส่ายหัว ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อปริศนาของสารวัตร แต่ในกลุ่มนั้นมีชายคน
หนึ่งสงสัยว่า รูปร่างและตัวเขียนอันน่าสยดสยองนั้น มีความคุ้นเคยแปลกประหลาด เขาเล่า
เรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนรู้ด้วยความลังเลเล็กน้อยบุคคลผู้นี้คือ ศาสตราจารย์วิลเลียม แช
นนิง เว็บบ์ นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และนักสำรวจผู้มีชื่อเสียงผู่วงลับ สี่สิบ
แปดปีก่อน ศาสตราจารย์เว็บบ์ เดินทางไปกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ เพื่อค้นหาจารึกอักษรรูน
โบราณ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ระหว่างการสำรวจชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์ เขา
ได้พบกับชนเผ่าหรือลัทธิบูชาปีศาจแปลกประหลาด พวกเอสกิโมกลุ่มนี้มีศาสนาอันแปลก
ประหลาด คือการบูชารูปปั้นปีศาจ ซึ่งสร้างความสยดสยองและสะพรึงกลัวให้แก่ศาสตราจารย์
เว็บบ์ ด้วยความกระหายเลือดและน่ารังเกียจอย่างโจ่งแจ้ง ศาสนานี้เป็นสิ่งที่เอสกิโมกลุ่มอื่น
รู้จักน้อยมาก พวกเขาพูดถึงมันด้วยความหวาดกลัว เล่าว่ามันสืบทอดมาจากยุคโบราณอันน่า
ลึกลับตั้งแต่ก่อนโลกถือกำเนิด ดูช่างสยองขวัญยิ่งนัก นอกจากพิธีกรรมลึกลับที่ไร้ชื่อ และการ
สังเวยมนุษย์แล้ว ยังมีพิธีกรรมประจำตระกูลบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมุ่งสู่ปีศาจผู้เฒ่าผู้
ยิ่งใหญ่ หรือ เทอร์นาซุก ศาสตราจารย์เว็บบ์ บันทึกสำเนียงการสวดอย่างพิถีพิถัน จากคำบอก
เล่าของ แองกู๊ค หรือ นักบวชผู้ทรงเวทมนตร์ชรา เขาใช้ตัวอักษรโรมันแทนเสียงตามความ
เข้าใจที่ดีที่สุด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือวัตถุมงคลที่ลัทธิบูชานี้หวงแหน พวกเขาเต้นรำรอบวัตถุนี้ เวลาที่
แสงออโรราพุ่งสูงเหนือหน้าผาน้ำแข็ง Jan-Led6 ศาสตราจารย์เว็บบ์ กล่าวว่า มันเป็นรูปสลัก
หินนูนต่ำที่หยาบมาก ประกอบไปด้วยภาพวาดที่น่าสยดสยองและตัวเขียนลึกลับ เท่าที่เขา
พิจารณา ดูเหมือนว่ามันมีความคล้ายคลึงกันอย่างหยาบๆ ในทุกๆ ด้านที่สำคัญ กับสิ่งชั่วร้ายที่
วางอยู่ตรงหน้าที่ประชุมนี้
ข้อมูลนี้ซึ่งเหล่าบรรดาสมาชิกได้รับด้วยความระทึกใจและความประหลาดใจ ได้พิสูจน์แล้วว่า
น่าตื่นเต้นเป็นสองเท่าสำหรับผู้ตรวจการเลอกลาสส์; และเขาก็เริ่มที่จะสอบถามผู้ให้ข้อมูลด้วย
คำถามต่างๆ ในทันที โดยที่เขาได้สังเกตเห็นและคัดลอกบทสวดของลัทธิบูชาสิ่งมีชีวิตในหนอง
น้ำเอาไว้ ซึ่งคนของเขาได้จับกุมไป เขาจึงวิงวอนให้ศาสตราจารย์ระลึกให้ได้มากที่สุดถึงพยางค์
ที่ได้บันทึกไว้ท่ามกลางหมอผีชาวเอสกิโมที่บูชาปีศาจ7 จากนั้นก็ได้มีการเปรียบเทียบ
รายละเอียดต่างๆ8 อย่างถี่ถ้วนและช่วงเวลาของความเงียบที่น่าเกรงขามจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อทั้ง
6
Jan-led เป็นคำภาษาอาหรับที่ตรงกับคำว่า "หน้าผาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง" มากที่สุด
7
นายตำรวจและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าพิธีกรรมที่แยกห่างกันอย่างมากมาย ทั้งที่ของชาวเอสกิโมและนักบวชแห่งหลุยเซียน่ากลับมีการร่ายมนต์แบบเดียวกันอย่าง
น่าประหลาดใจ
8
การค้นพบนี้บ่งบอกถึงลัทธิที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกลับ ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบความเชื่อแบบโบราณที่แผ่ขยายและแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมหลายๆแห่ง
-14 -
นักสืบและนักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นด้วยกับตัวตนเสมือนจริงของวลีที่เหมือนกันในพิธีกรรมชั่ว
ร้ายทั้งสองที่แยกจากกันโดยระยะทางหลายโลก สิ่งที่สำคัญก็คือ ทั้งหมอผีชาวเอสกิโมและ
นักบวชในบึงหลุยเซียน่า ต่างได้สวดให้กับเทพที่คล้ายๆ กันด้วยอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน
มากๆ —การแบ่งคำเป็นการคาดเดาจากช่วงแบ่งแบบดั้งเดิมในวลีของบทสวดที่สวดออกมา
ดังๆ:
“Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn9.”
สารวัตรเลอกราสส์แทบมีข้อได้เปรียบเหนือศาสตราจารย์เว็บบ์อยู่เรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเพราะ
นักโทษชาวพื้นเมืองหลายคนได้พูดซ้ำสิ่งที่นักประกอบพิธีรุ่นเก่าเคยบอกถึงความหมายของคำ
เหล่านั้น โดยข้อความที่ได้รับมีใจความประมาณว่า: “ในบ้านของพระองค์ ณ ริเลย์ คธูลูผู้
สิ้นชีพยังคงรอคอยอยู่ในห้วงฝัน”
และในตอนนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการอย่างเร่งด่วนและแพร่หลาย ผู้ตรวจการ สารวัตร
เลอกราสส์ได้เล่าประสบการณ์ของเขากับเหล่าผู้นับถือลัทธิในหนองน้ำได้อย่างละเอียดที่สุด
เท่าที่จะทำได้ โดยบอกเล่าเรื่องราวที่ผมสัมผัสได้ว่าลุงของผมให้ความสำคัญอย่างลึกซึ้ง
เรื่องราวดังกล่าวมีกลิ่นอายของความฝันอันแสนประหลาดของผู้แต่งตำนานและนักเทววิทยา
เปิดเผยถึงระดับจินตนาการเกี่ยวกับจักรวาลที่น่าประหลาดใจในหมู่คนเชื้อสายผสมและพวกที่
ถูกขับไล่ ซึ่งน้อยคนจะคาดคิดว่าพวกเขาจะมีสิ่งนั้น
ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1907 กองตำรวจนิวออร์ลีนส์ได้รับการร้องขออย่างเร่งด่วนจาก
แถบหนองน้ำและทะเลสาบทางตอนใต้ เหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานที่นั่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานนิสัยดี
แต่ยังคงมีความดั้งเดิมของลูกน้องลาฟิตต์ ต่างหวาดกลัวสุดขีดกับสิ่งลึกลับที่โผล่มาหาพวกเขา
ในยามค่ำคืน เห็นได้ชัดว่านี่คือลัทธิวูดู ทว่ามีความน่าสะพรึงกลัวกว่าที่พวกเขาเคยพบเจอ และ
มีผู้หญิงกับเด็กบางคนหายไปหลังจากเสียงกลองทอม-ทอมที่ชั่วร้ายเริ่มดังก้องอยู่ลึกเข้าไปใน
ป่าดำอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยงเข้าไป มีเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งและเสียงกรีดร้อง
ที่สะเทือนใจ บทสวดที่ทำให้จิตวิญญาณหนาวสั่นและเปลวเพลิงของปีศาจที่เต้นระบำ ผู้ส่ง
สารที่ตกใจกลัวกล่าวเสริมว่าชาวบ้านทนไม่ไหวอีกแล้ว
หน่วยตำรวจจำนวนยี่สิบนาย พร้อมด้วยรถสองคันและรถยนต์หนึ่งคัน ได้ออกเดินทางในตอน
บ่ายแก่ๆ โดยมีชายร่างผอมโซผู้หวาดผวาเป็นผู้นำทาง เมื่อถึงจุดที่รถไม่สามารถแล่นไปได้อีก
พวกเขาลงจากรถและเดินลุยอย่างเงียบเชียบไปหลายไมล์ภายในป่าไซปรัสอันน่าสะพรึงกลัวซึ่ง
แสงตะวันไปไม่ถึง พวกเขาพบเห็นรากไม้ที่บิดเบี้ยวน่าเกลียดและตะไคร่น้ำแบบต้นมอสสาย
9
ฟะทักน์
-15 -
พันธ์สเปน (Spanish Moss) ห้อยระย้าเป็นปมคล้ายบ่วง สร้างความหวาดกลัว ทุกครั้งที่เจอ
กองหินชื้นๆ หรือชิ้นส่วนของกำแพงผุพัง ความทึบนี้ราวกับซ่อนเร้นการมีอยู่สิ่งชั่วร้ายไว้ ซึ่ง
ต้นไม้ผิดรูปทุกต้น และดงเห็ดทุกกอต่างร่วมกันก่อเกิดความกดดันนี้ขึ้น
ในที่สุด กลุ่มบ้านเรือนโทรมๆ อันเป็นที่อยู่ของผู้อยู่อาศัยที่ลี้ภัยมา ก็ปรากฏในสายตา เหล่า
ชาวบ้านที่หวาดวิตกพากันวิ่งกรูออกมาล้อมรอบกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ถือตะเกียงแสงริบหรี่ เสียง
กลองทัมทัมที่ห่อผ้าปิดไว้ ดังทึบเบาๆ กังวาลมาจากที่ไกลโพ้น ส่วนเสียงกรีดโหยหวนก็ลอยมา
กับสายลมเป็นระยะ ราวกับว่ามีแสงสีแดงอำพันเรื่อๆ ลอดออกมาผ่านเถาวัลย์ของพุ่มไม้ ไป
ยังสุดปลายของเส้นทางป่าที่ดำมืดไม่รู้จบ เหล่าผู้อยู่อาศัยลี้ภัยหวาดกลัวเกินกว่าจะแม้แต่ถูก
ทิ้งไว้ตามลำพัง ไม่มีผู้ใดกล้าอาสาเดินหน้าต่อไปอีกแม้แต่ก้าวเดียวเพื่อไปยังจุดที่มีการบูชาสิ่ง
ชั่วร้าย ดังนั้น ผู้ตรวจการเลอกลาสและตำรวจอีกสิบเก้านายจึงต้องฝ่าความมืดเข้าไปสู่เขตหวง
ห้ามอันน่าสะพรึงที่ไม่มีผู้ใดเคยย่างกรายมาก่อน
พื้นที่ซึ่งเหล่าตำรวจได้เข้ามายังนี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความชั่วร้ายมาแต่โบราณ แทบไม่มีคน
ขาวกล้าสำรวจ มีตำนานเล่าถึงทะเลสาบลึกลับที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็น เป็นที่อยู่อาศัยของ
สิ่งมีชีวิตสีขาวขนาดใหญ่ไร้รูปร่างมีนัยน์ตาเรืองแสง ชาวบ้านเล่ากันปากต่อปากว่ามีปีศาจติด
ปีกค้างคาวบินขึ้นมาจากถ้ำใต้ดินเพื่อบูชาสิ่งมีชีวิตนี้ในยามเที่ยงคืน ว่ากันว่า สิ่งนี้อยู่มาตั้งแต่
ก่อนยุค D'lberville ก่อน La Salle ก่อนที่ชนพื้นเมืองจะมาตั้งรกราก หรือแม้แต่ก่อนหน้าที่
บรรดาสัตว์ป่าจะปรากฏตัว มันคือฝันร้ายในคราบความจริง ใครเห็นเป็นต้องตาย แต่มันทำให้
ผู้คนฝันได้ พวกชาวบ้านจึงรู้ว่าต้องอยู่ให้ห่าง พิธีบูชาในครั้งนี้เกิดขึ้นตรงขอบของพื้นที่ต้องห้าม
ก็จริง แต่แค่ตรงขอบๆ ก็ถือว่าเลวร้ายเกินพอ นั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมชาวบ้านถึงกลัว
สถานที่บูชามากกว่าแม้แต่เสียงโหยหวนอันน่าตื่นตระหนกและเหตุการณ์สยองขวัญทั้งหลาย
บทกวีหรือความบ้าคลั่งเท่านั้นที่จะบรรยายเสียงที่ลูกน้องของเลอกราสส์ได้ยิน ขณะที่พวกเขา
พายเรือฝ่าหนองน้ำอันดำมืดมุ่งหน้าสู่แสงแดงเรืองโรจน์และเสียงกลองทับเบา ๆ ที่เลือนราง มี
เสียงร้องที่แปลกประหลาด ทั้งเสียงของมนุษย์และเสียงของสัตว์ป่า การได้ยินเสียงแบบนั้นจาก
แหล่งที่มาที่ควรจะเป็นอีกแบบนั้น มันช่างน่าสยองขวัญ เสียงคำรามของสัตว์ป่าปนเปกับเสียง
ร้องโหยหวนอันเร่งเร้ากวัดแกว่งไปสู่ความบ้าคลั่งของปีศาจ พวกมันกรีดร้องและส่งเสียงร้อง
อันบ้าคลั่งวิปลาส ดังก้องกังวาลไปทั่วป่าทึมราวกับพายุแห่งโรคระบาดจากนรก พักหนึ่ง เสียง
โหวกเวกที่ไม่เป็นระเบียบก็หยุดลง จากนั้น เสียงร้องประสานอันทรงพลังราวกับได้รับการ
ฝึกฝน ก็ดังขึ้นพร้อมกับบทสวดอันน่าสะพรึงกลัว:
“Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn.”
-16 -
เมื่อพวกเขาไปถึงจุดที่ต้นไม้โปร่งขึ้น ฉากอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทันใดนั้นสี่คน
ในกลุ่มล้มลง คนหนึ่งหมดสติ อีกสองคนส่งเสียงร้องโหยหวนจนโชคดีที่ความบ้าคลั่งของ
พิธีกรรมนั้นกลบเสียงของพวกเขาไป เลอกราสส์รีบสาดน้ำจากหนองใส่หน้าคนที่หมดสติ
ขณะที่ทุกคนยืนตัวสั่นด้วยความกลัวจนเกือบจะตกอยู่ในภวังค์
ท่ามกลางป่าที่เปิดโล่ง มีเกาะหญ้าที่แห้งพอสมควร ไม่มีต้นไม้และมีขนาดประมาณไร่เศษ
ปรากฏฝูงชนที่ผิดรูปผิดร่างราวกับฝูงสัตว์ประหลาด พวกมันส่งเสียงร้อง โหยหวน และบิดตัว
ไปมาล้อมรอบกองไฟขนาดมหึมา ซึ่งเผยให้เห็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางสูงราว
แปดฟุต บนเสาหินนั้นวางรูปปั้นแกะสลักน่าสะอิดสะเอียนซึ่งดูไม่เข้ากันเลยกับขนาดที่เล็ก
กะทัดรัดของมัน
ศพของชาวบ้านที่โดนจับตัวไป ถูกแขวนหัวลงมาจากนั่งร้านสิบอันที่ตั้งล้อมรอบเสาหินและ
กองไฟ กลุ่มสิ่งมีชีวิตเหล่านี้กระโดดโลดเต้นและส่งเสียงคำรามวนเวียนไปทางขวาอย่างไม่
สิ้นสุด เหมือนกับประกอบพิธีกรรมบูชาอันบ้าคลั่ง
หนึ่งในทีม ซึ่งเป็นชาวสเปนผู้มีจินตนาการสูง คิดว่าเขาได้ยินเสียงตอบรับต่อพิธีกรรมนี้มาจาก
จุดที่ลึกเข้าไปในป่าโบราณที่เต็มไปด้วยตำนานและความน่ากลัว ชายคนนี้มีนามว่า โจเซฟ ดี.
กัลเวซ ผมได้พบและซักถามเขาในภายหลัง แต่ข้อมูลที่ได้นั้นค่อนข้างเชื่อถือไม่ได้เท่าไรนัก เขา
ยังบอกอีกด้วยว่า ได้ยินเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ แวบหนึ่งได้เห็นดวงตาที่เปล่งประกาย และ
ร่างสีขาวขนาดมหึมาอยู่ไกลออกไปหลังแนวต้นไม้ ผมคิดว่าเขาคงจะรับฟังเรื่องผีและตำนาน
พื้นเมืองมามากเกินไป
อาการตกตะลึงของเจ้าหน้าที่กินเวลาอันสั้น เพราะหน้าที่ต้องมาก่อน ถึงแม้จะมีฝูงปีศาจร่วม
ร้อยตน พวกตำรวจก็ไม่ลังเลที่จะชักอาวุธปืนออกมายิงและบุกเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว ห้าาทีถัด
มาเกิดความโกลาหลวุ่นวายเกินกว่าจะพรรณนาได้ มีการต่อสู้กัน การยิงปะทะ และการ
หลบหนี สุดท้ายเลอกราสส์สามารถรวบตัวคนบ้าคลั่งในพิธีกรรมได้สี่สิบเจ็ดคน พวกมันถูก
บังคับให้แต่งตัวและยืนเข้าแถวระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสองแถว ผู้เข้าร่วมพิธีถูกยิงตายห้าคน
และต้องหามอีกสองคนที่บาดเจ็บหนักใส่เปลสนามไป รูปปั้นปีศาจบนเสาหินถูกรื้อลงอย่าง
ระมัดระวัง และเลอกราสส์ขนมันกลับไปด้วย
หลังจากพวกเขาถูกสอบสวนที่สำนักงานใหญ่ ในสภาพที่อ่อนล้าหลังจากเดินทางอันเต็มไปด้วย
ความเครียด นักโทษทั้งหมดดูเป็นพวกเลือดผสมชั้นต่ำ และมีสภาพจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)
The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)

More Related Content

Featured

How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024Albert Qian
 
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie InsightsSocial Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie InsightsKurio // The Social Media Age(ncy)
 
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024Search Engine Journal
 
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summarySpeakerHub
 
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd Clark Boyd
 
Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next Tessa Mero
 
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search IntentGoogle's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search IntentLily Ray
 
Time Management & Productivity - Best Practices
Time Management & Productivity -  Best PracticesTime Management & Productivity -  Best Practices
Time Management & Productivity - Best PracticesVit Horky
 
The six step guide to practical project management
The six step guide to practical project managementThe six step guide to practical project management
The six step guide to practical project managementMindGenius
 
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...RachelPearson36
 
Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...
Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...
Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...Applitools
 
12 Ways to Increase Your Influence at Work
12 Ways to Increase Your Influence at Work12 Ways to Increase Your Influence at Work
12 Ways to Increase Your Influence at WorkGetSmarter
 
Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...
Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...
Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...DevGAMM Conference
 
Barbie - Brand Strategy Presentation
Barbie - Brand Strategy PresentationBarbie - Brand Strategy Presentation
Barbie - Brand Strategy PresentationErica Santiago
 
Good Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them well
Good Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them wellGood Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them well
Good Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them wellSaba Software
 
Introduction to C Programming Language
Introduction to C Programming LanguageIntroduction to C Programming Language
Introduction to C Programming LanguageSimplilearn
 

Featured (20)

How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
 
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie InsightsSocial Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
 
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
 
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
 
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
 
Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next
 
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search IntentGoogle's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
 
How to have difficult conversations
How to have difficult conversations How to have difficult conversations
How to have difficult conversations
 
Introduction to Data Science
Introduction to Data ScienceIntroduction to Data Science
Introduction to Data Science
 
Time Management & Productivity - Best Practices
Time Management & Productivity -  Best PracticesTime Management & Productivity -  Best Practices
Time Management & Productivity - Best Practices
 
The six step guide to practical project management
The six step guide to practical project managementThe six step guide to practical project management
The six step guide to practical project management
 
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
 
Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...
Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...
Unlocking the Power of ChatGPT and AI in Testing - A Real-World Look, present...
 
12 Ways to Increase Your Influence at Work
12 Ways to Increase Your Influence at Work12 Ways to Increase Your Influence at Work
12 Ways to Increase Your Influence at Work
 
ChatGPT webinar slides
ChatGPT webinar slidesChatGPT webinar slides
ChatGPT webinar slides
 
More than Just Lines on a Map: Best Practices for U.S Bike Routes
More than Just Lines on a Map: Best Practices for U.S Bike RoutesMore than Just Lines on a Map: Best Practices for U.S Bike Routes
More than Just Lines on a Map: Best Practices for U.S Bike Routes
 
Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...
Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...
Ride the Storm: Navigating Through Unstable Periods / Katerina Rudko (Belka G...
 
Barbie - Brand Strategy Presentation
Barbie - Brand Strategy PresentationBarbie - Brand Strategy Presentation
Barbie - Brand Strategy Presentation
 
Good Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them well
Good Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them wellGood Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them well
Good Stuff Happens in 1:1 Meetings: Why you need them and how to do them well
 
Introduction to C Programming Language
Introduction to C Programming LanguageIntroduction to C Programming Language
Introduction to C Programming Language
 

The Call of Cthulhu (เสียงเพรียกแห่งคธูลู)

  • 1. The Call of Cthulhu เสียงเพรียกจากคธูลู เสียงเพรียกจากคธูลู The Call of Cthulhu H. P. Lovecraft H. P. Lovecraft บัญญพนต์ พูลสวัสดิ แปล ์
  • 2.
  • 3. คำนำ ในบรรดาผลงานอันล้นหลามของเอช.พี. เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) นิยายสั้นเรื่อง "The Call of Cthulhu" หรือ "เสียงเรียกแห่งคธูลู" นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่โด่งดังและ ทรงอิทธิพลที่สุด เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับอสูรกายโบราณนามว่า "คธูลู" ที่หลับใหลอยู่ ใต้ท้องทะเลลึก ได้สร้างความหวาดกลัวและจินตนาการอันล้ำลึกแก่ผู้อ่านมาเนิ่นนาน การแปล วรรณกรรมเรื่อง "เสียงเรียกแห่งคธูลู" สู่ภาษาไทยครั้งนี้ เป็นความพยายามที่จะนำเสนอผลงาน อันทรงพลังของเลิฟคราฟท์ให้กับผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์การอ่านที่น่าตื่นเต้น และน่าสะพรึงกลัว การแปลวรรณกรรมเรื่องนี้ เต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ประการแรก ภาษาของเลิฟ คราฟท์นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปด้วยคำศัพท์โบราณ สำนวนภาษาที่ซับซ้อน และบรรยายถึงสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ซึ่งยากที่จะถ่ายทอดความหมายได้อย่างครบถ้วน ประการที่สอง เนื้อหาของเรื่องเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าโบราณ สถานที่ และนามบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจบริบทของเรื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้แปลพยายามอย่างเต็มที่ที่จะถ่ายทอดความงดงามของภาษาและความน่า สะพรึงกลัวของเนื้อหาให้คงไว้มากที่สุด รวมไปถึงการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ในเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยสามารถเข้าใจและดื่มด่ำกับเรื่องราวได้อย่างเต็มอรรถรส หวังว่าการแปลวรรณกรรมเรื่อง "เสียงเรียกแห่งคธูลู" ครั้งนี้ จะเป็นการเปิดประตูสู่โลกอันน่า พิศวงของเอช.พี. เลิฟคราฟท์ ให้กับผู้อ่านชาวไทย ที่ชื่นชอบ หรือเริ่มต้นศึกษา และหาแนวทาง วรรณกรรมต่อยอดการออกแบบได้เข้าถึงจินตนาการของผู้ประพัน์กับชิ้นงานอันเป็นตำนานได้ อย่างเพลิดเพลินไม่รู้ลืม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์
  • 4. ประวัติของ H.P. Lovecraft โฮเวิร์ด ฟิลิปส์ เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) กำเนิด: 20 สิงหาคม พ.ศ. 2433 เสียชีวิต: 15 มีนาคม พ.ศ. 2480 อาชีพ: นักเขียนนิยาย ผลงานเด่น: • ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos) • เรื่องสั้น "The Call of Cthulhu" • เรื่องสั้น "The Colour Out of Space" ชีวประวัติ: เกิดที่เมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอส์แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ชอบอ่าน หนังสือตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะวรรณกรรมสยองขวัญ เริ่มเขียนนิยายตั้งแต่อายุ 14 ปี เริ่มเต้นตีพิมพ์ผลงานใน นิตยสาร Weird Tales ผลงานส่วนใหญ่เป็นนิยายสยองขวัญ ผสมผสานกับนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซี สร้าง ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos) จักรวาลเทพเจ้าโบราณที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว ผลงานของเขาไม่ได้รับความ นิยมมากนักในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ จนกระทั่ง เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อิทธิพลงานเขียนของเลิฟคราฟท์ ผลงานของเลิฟคราฟท์มีอิทธิพลต่อนักเขียนนิยายสยองขวัญรุ่นหลังมากมาย ปรากฏในสื่อบันเทิงหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์ วิดีโอเกม บอร์ดเกม แนวคิด "ความกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก" ของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักสร้างสรรค์ผลงานสยองขวัญมาจนถึงปัจจุบัน
  • 5. สารบัญ เสียงเรียกจากคธูลู The Call of Cthulhu By H. P. Lovecraft............................................................................2 ตอนที่ 1 ความสยองในรูปปั้นดินเหนียว ..................................................................................................................3 ตอนที่ 2 คดีของสารวัตรเลอกราสส์......................................................................................................................11 ตอนที่ 3 ความบ้าคลั่งจากท้องทะเล......................................................................................................................23 สรุปเรื่องราวของ เสียงเรียกจากคธูลู (The Call of Cthulhu).............................................................................35 เสียงเรียกคธูลู: การตีความทางการเมือง...............................................................................................................36
  • 6. -2 - เสียงเรียกจากคธูลู The Call of Cthulhu By H. P. Lovecraft (เอกสารฉบับนี้ พบในเอกสารของผู้ล่วงลับ ฟรานซิส เวย์แลนด์ เธอร์สตัน แห่งบอสตัน) “พลังอำนาจลึกลับจากสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังในอดีตกาล อาจยังคงหลงเหลือรอดชีวิต ผ่าน กาลเวลานับแสนนับล้านปี รอคอยการค้นพบ จิตสำนึกเหนือกว่าความเข้าใจของมนุษย์แห่ง โบราณกาล อาจสิงสถิตอยู่ในรูปแบบหลากหลายสิ่งที่สูญหายไปนาน ก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะก้าว เข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนา ตำนานและบทกวี บันทึกเรื่องราวของพวกมัน ราวกับเป็นเศษเสี้ยวความ ทรงจำจากอดีตกาล” —อัลเจอร์นอน แบล็ควูด
  • 7. -3 - ตอนที่ 1 ความสยองในรูปปั ้ นดินเหนียว สิ่งที่เมตตาที่สุดในโลกนี้ ผมคิดว่าคงเป็นการที่จิตใจของมนุษย์นั้นไร้ซึ่งความสามารถในการ เชื่อมโยงทุกสิ่งที่มารวมบรรจบกันได้ พวกเราอาศัยอยู่บนเกาะแห่งความไม่รู้ที่สงบสุข ท่ามกลางมหาสมุทรอันลึกและมืดมิดยาวไกลไม่สิ้นสุด และไม่ได้ถูกลิขิตให้เดินทางไกลออกไป เหล่าศาสตร์ความรู้ ต่างมุ่งหน้าไปในเส้นทางของตนเอง ที่ผ่านมาทำร้ายเราน้อยมาก แต่สักวัน หนึ่งการรวบรวมชิ้นส่วนความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน จะเปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัว ทั้งหลาย และตำแหน่งน่าหวาดกลัวของเราที่อยู่ในนั้น จนเราต้องสติแตกจากการความจริงที่ ประจักษ์ หรือหลบหนีจากแสงสว่างอันร้ายกาจนั้น เข้าสู่ความสงบและปลอดภัยของยุคมืดที่ จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เหล่านักปรัชญาเทวนิยม (Theosophists)1 ได้คาดเดาถึงความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของ วงจรแห่งจักรวาล อันที่โลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราเป็นเพียงเหตุการณ์อันฉาบฉวย พวกเขา ได้กล่าวเป็นนัยถึงการดำรงอยู่ของสิ่งแปลกประหลาด ในถ้อยคำที่จะทำให้เลือดแข็งตัวหาก ปราศจากการมองโลกในแง่ดีที่ซ้ำซาก แต่มิใช่จากพวกเขาเหล่านั้น ที่นำมาซึ่งเศษเสี้ยวความรู้ ต้องห้ามแห่งห้วงเวลาต้องห้ามซึ่งทำให้ผมเย็นยะเยือกเมื่อคิดถึงมัน และแทบบ้าคลั่งเมื่อได้ฝัน ถึงมัน เศษเสี้ยวของความรู้เช่นเดียวกับความจริงอันน่าหวาดกลัวทั้งหลาย ได้ปรากฏออกมา จากการประกอบรวมบังเอิญของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน – ในกรณีนี้มาจากบทความ หนังสือพิมพ์เก่า ๆ และบันทึกของศาสตราจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ผมหวังว่าจะไม่มีใครได้ ประกอบรวมข้อมูลเหล่านี้ได้อีกเลย และที่แน่ๆ หากผมยังมีชีวิต ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองมาเป็น ตัวเชื่อมโยงให้ห่วงโซ่น่าสะพรึงกลัวนี้สมบูรณ์เด็ดขาด ผมคิดว่าศาสตราจารย์ก็ตั้งใจจะปิดปาก เงียบไม่เอ่ยถึงส่วนที่เขารู้ด้วย และเขาคงทำลายบันทึกของเขาไปแล้ว หากไม่ได้เกิดการ เสียชีวิตกะทันหันขึ้นเสียก่อน การรับรู้ของผมเกี่ยวกับสิ่งนั้น เริ่มต้นขึ้นในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1926-1927 เมื่อ จอร์จ แกมเมลล์ แองเจลล์ อาจารย์ใหญ่กิตติมศักดิ์ ภาษากลุ่มเซมิติก แห่ง มหาวิทยาลัยบราวน์ พรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ถึงแก่กรรม ท่านศาสตราจารย์ แองเจลล์ เป็น 1 Theosophists หมายถึงนักศึกษาหรือสาวกของลัทธิเทวนิยม เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานหลายๆ ศาสตร์ เช่น ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าใจธรรมชาติของ พระเจ้าและจุดกำเนิดของจักรวาล
  • 8. -4 - ที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกโบราณ มักได้รับการติดต่อจากผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์ชั้นนำอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการจากไปของท่านในวัย 92 ปี จึงเป็นที่จดจำของหลายคน ในท้องถิ่น ความสนใจทวี ความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุการตายที่ยังคลุมเครือท่านศาสตราจารย์ล้มลงขณะ เดินทางกลับจากเรือที่นิวพอร์ต พยานเล่าว่า ท่านล้มลงอย่างกะทันหัน หลังจากถูกชายผิวสี รูปร่างคล้ายชาวเรือ ที่โผล่ออกมาจากตรอกมืดลาดชันบนเนินเขาเบียด ทรัพย์สินใดๆ ไม่สูญ หาย แพทย์ไม่สามารถหาความผิดปกติที่ชัดเจนได้ แต่หลังจากการถกเถียงกันอย่างงุนงง, สรุปว่าอาจเป็นเพราะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากการเดินขึ้นเนินเขาที่สูงชันสำหรับชายชราภาพ เช่นท่าน ในตอนนั้น ผมไม่เห็นเหตุผลที่จะคัดค้านคำตัดสินนี้ แต่หลังจากนั้น ผมเริ่มสงสัย - มากขึ้น มากกว่าคำว่าสงสัยเสียอีก ในฐานะทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของลุงผู้ล่วงลับไปโดยไร้บุตร และภรรยา ตามหน้าที่ ผม จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารของท่านอย่างละเอียด ดังนั้น ผมจึงย้ายแฟ้มและกล่องเอกสาร ทั้งหมดของท่านมาเก็บไว้ที่พักของผมในบอสตัน ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผมได้รวบรวมไว้นี้ สมาคม โบราณคดีอเมริกันจะนำไปเผยแพร่ในภายหลัง แต่ทว่ามีกล่องหนึ่งที่ผมรู้สึกสับสนอย่างมาก และไม่อยากให้ใครเห็นเลย มันถูกล็อกไว้ และผมหาแม่กุญแจไม่เจอ จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่า ลองตรวจสอบแหวนประจำตัวที่ท่านศาสตราจารย์เคยพกติดตัวดู ปรากฏว่าผมไขกล่องออกได้ สำเร็จ แต่พอเปิดออก กลับเหมือนเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และล็อกแน่นหนาขึ้นไปอีก เพราะว่า ภาพนูนต่ำประหลาดบนแผ่นดินเหนียว และข้อเขียน บันทึก และเศษกระดาษที่ไม่ต่อเนื่องกัน พวกมันมีความหมายว่าอะไรกัน? ในช่วงบั้นปลายชีวิต ลุงของผมกลายเป็นคนหลงเชื่อเรื่องงม งายไร้สาระไปแล้วหรือ? ผมตั้งใจจะตามหาชิ้นงานจากประติมากรผู้แปลกประหลาดผู้ต้อง รับผิดชอบต่อเรื่องวุ่นวายสับสนที่เกิดขึ้นกับความสงบสุขของชายชราคนนี้ รูปทรงนูนต่ำนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหยาบๆ มีความหนาไม่ถึงนิ้ว กว้างประมาณห้านิ้ว ยาว ประมาณหกนิ้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นงานยุคสมัยใหม่แต่ลวดลายบนแผ่นกลับดูไม่ทันสมัยเอามากๆ ทั้งบรรยากาศและสัญลักษณ์ แม้ศิลปะแบบลูกบาศก์ (Cubism) และลัทธิอนาคตนิยม (Futurism) จะมีรูปแบบแปลกประหลาดและหลุดโลก แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความสม่ำเสมอที่ ลึกลับแบบตัวเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งลวดลายส่วนใหญ่บนแผ่นนี้ดูเหมือนจะเป็น ตัวเขียนบางประเภทอย่างแน่นอน ถึงแม้ผมจะคุ้นเคยกับเอกสารและสะสมของลุงเป็นอย่างดี แต่ความทรงจำของผมก็ไม่สามารถยืนยันชนิดของตัวเขียนนี้ หรือแม้แต่จะบอกใบ้ถึงความ เกี่ยวข้องที่ห่างไกลได้เลย
  • 9. -5 - เหนือสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนตัวอักษรโบราณนี้ มีรูปร่างที่ชัดเจนว่าเป็นภาพ แม้การวาดจะ สไตล์อิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ทำ ให้เดาได้ยากว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร มันดู เหมือนสัตว์ประหลาดบางชนิด หรือ สัญลักษณ์แทนสัตว์ประหลาด ที่มีรูปร่างซึ่ง จินตนาการที่ป่วยไข้เท่านั้นถึงจะนึกออกได้ ถ้าผมบอกว่าจินตนาการอันค่อนข้างเพ้อฝัน ของผมนึกภาพหมึกยักษ์ มังกร และภาพ ล้อเลียนมนุษย์พร้อมๆ กัน ก็คงไม่ผิดเพี้ยนไป จากรูปลักษณ์นั้น หัวที่มีหนวดเนื้อนิ่ม อยู่บนร่างกายแปลกประหลาดมีเกล็ดพร้อมปีกเล็กๆ แต่รูปทรงโดยรวม ต่างหากที่ทำให้มันน่ากลัวอย่างน่าขนลุก เบื้องหลังรูปปั้นนั้น มีเค้าโครงรางๆ ของ สถาปัตยกรรมแบบไซคลอปส์ (Cyclopean) เนื้อหาที่แนบมาด้วยกับของแปลกประหลาดนี้ นอกเหนือจากกองของบทความตัดแปะจาก หนังสือพิมพ์แล้ว เป็นลายมือล่าสุดของศาสตราจารย์แองเจลล์ ที่ไม่ได้เป็นบทประพันธ์หรือแต่ง แต้มสไตล์วรรณกรรมลงไป มีเพียงสิ่งที่ดูเหมือนเอกสารหลักมีหัวข้อว่า “ลัทธิคธูลู” โดยใช้ ตัวอักษรที่พิมพ์อย่างพิถีพิถันเพื่อหลีกเลี่ยงการอ่านผิดคำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้นฉบับ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกมีหัวข้อว่า “1925 - ความฝันและการวิเคราะห์ความฝันของ เอช. เอ. วิ ลค็อกซ์, 7 ถนนโทมัส, พรอวิเดนซ์, รัฐโรดไอแลนด์” ส่วนที่สองมีหัวข้อว่า “คำบอก เล่าของสารวัตรจอห์น อาร์. เลอแกรส, 121 ถนนเบียนวิลล์, นิวออร์ลีนส์, รัฐลุยเซียนา, ประชุม สมาคมวิทยาศาสตร์อเมริกัน ปี ค.ศ. 1908 - บันทึกเพิ่มเติม และ บันทึกของ ศาสตราจารย์เว็บบ์” เอกสารต้นฉบับอื่น ๆ ล้วนเป็นโน้ตสั้น ๆ บางส่วนเป็นบันทึกความฝัน แปลกประหลาดของบุคคลต่าง ๆ บางส่วนเป็นการอ้างอิงจากหนังสือและวารสารแนวเทวโซฟี (โดยเฉพาะแอตแลนติสและเลมูเรียที่สาบสูญของ ว. สกอตต์-เอลเลียต) และที่เหลือเป็น ความเห็นเกี่ยวกับสมาคมลับและลัทธิซ่อนเร้นที่อยู่รอดมายาวนาน พร้อมการอ้างอิงข้อความ ในแหล่งข้อมูลด้านเทพนิยายและมานุษยวิทยา เช่น กิ่งทองคำของ เฟรเซอร์ และ ลัทธิแม่มด ในยุโรปตะวันตกของมิส เมอร์เรย์ บทความตัดแปะส่วนใหญ่กล่าวถึงโรคทางจิตที่แปลก ประหลาดและการระบาดของความบ้าคลั่งหรือความคลั่งไคล้เป็นกลุ่มในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1925
  • 10. -6 - เนื้อหาแรกของต้นฉบับสำคัญเล่าเรื่องประหลาดอันหนึ่ง ดูเหมือนว่าวันที่ 1 มีนาคม 1925 ชาย หนุ่มผิวเข้ม รูปร่างผอมเพรียว ท่าทางตื่นเต้นประสาท ตกมาเยี่ยมศาสตราจารย์แองเจลล์ โดย ถือปฏิมากรรมดินเผาปูนนูนต่ำรูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งยังเปียกชื้นและสดใหม่มาก บัตรของ เขามีชื่อว่า เฮนรี่ แอนโทนี วิลค็อกซ์ อาจารย์ของผมจำได้ว่าเขาเป็นลูกชายคนเล็กของ ครอบครัวที่ค่อนข้างดี ซึ่งอาจารย์รู้จักผิวเผิน เขาเคยเรียนปั้นที่วิทยาลัยศิลปะและออกแบบ โรดไอแลนด์ และอาศัยอยู่คนเดียวที่แฟลอร์-เดอ-ลิส บิลดิ้ง ใกล้ๆ วิทยาลัย วิลค็อกซ์เป็นหนุ่ม ฉลาดล้ำหน้า มีพรสวรรค์เป็นที่ประจักษ์แต่มีนิสัยแปลกประหลาด ผู้คนให้ความสนใจเขามา ตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเรื่องราวประหลาดและความฝันแปลกๆ ที่เขามักเล่าให้คนอื่นฟัง เขาเรียก ตัวเองว่า “อ่อนไหวทางจิต” (Psychically Hyper Sensitive)2 แต่คนเมืองค้าขายอนุรักษ์ นิยม มักมองว่าเขา “แปลก” เขาไม่ค่อยเข้าสังคมกับคนอื่น พอๆ กับที่เขาค่อยๆ หายไปจาก สังคม ปัจจุบันมีเพียงกลุ่มนักสุนทรียศาสตร์จากเมืองอื่นๆ เท่านั้นที่รู้จักเขา แม้แต่สโมสรศิลปะ พรอวิเดนซ์ ซึ่งต้องการรักษาความอนุรักษ์นิยมของตัวเอง ก็ยังมองว่าเขาไร้ประโยชน์ ในโอกาสที่มาเยี่ยม ศาสตราจารย์เล่าว่า ช่างแกะสลักถามเกี่ยวกับความรู้ทางโบราณคดีของ เจ้าบ้านอย่างฉับพลัน เพื่อระบุอักษรอียิปต์โบราณ (ไฮโรกลิฟฟิค) บนภาพแกะสลักนูนต่ำ เขา พูดด้วยลักษณะชวนฝันและประดิษฐ์ที่บ่งบอกถึงความพยายามสร้างภาพลักษณ์และเรียกร้อง ความเห็นอกเห็นใจ ลุงของผมตอบกลับด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เพราะความใหม่เอี่ยมของ แผ่นภาพนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับโบราณคดีเลย คำตอบโต้ของวิลคอกซ์หนุ่ม ซึ่งสร้างความ ประทับใจให้ลุงของผมมากพอจะจำและบันทึกมันไว้ได้ทั้งประโยค มีเนื้อหาเป็นบทกวีที่แปลก ประหลาด อันน่าจะเป็นเอกลักษณ์การสนทนาของเขา และภายหลังผมก็พบว่ามันแสดงถึง ตัวตนของเขาได้อย่างมาก เขาตอบว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งใหม่มาก เพราะผมสร้างมันเมื่อคืนจาก ความฝันถึงเมืองอันแปลกประหลาด เมืองที่ฝันถึงนั้นเก่าแก่ยิ่งกว่าเมืองไทร์ (Trye)3 ตำ นานสฟิงซ์ผู้ใคร่ครวญ4 หรือแม้แต่บาบิโลนเมืองแห่งสวนล้อม5” ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเล่าเรื่องราวเรื่อยเปื่อยซึ่งไปปลุกเร้าความทรงจำที่หลับใหลของลุงผมและ ดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง เรื่องมีอยู่ว่าคืนก่อนหน้านั้นเกิดแผ่นดินไหวเบาๆนับว่ารุนแรง 2 Psychically Hyper Sensitive ในปี ค.ศ. 1997 คู่สามีภรรยานักวิจัยชาวอเมริกัน ดร. อาเธอร์ แอรอน และดร. เอเลน แอรอน ได้ทำการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพกับ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 39 คน และทำการวิจัยเชิงปริมาณในกลุ่มตัวอย่าง 900 คน โดยได้พบว่า หัวใจของบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูง หรือ HSP คือ ความลึกในการ ประมวลผลข้อมูล (depth of processing) นั่นคือ บุคคลที่เป็น HSP จะมีความสามารถในการครุ่นคิดหรือประมวลผลสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบกับผัสสะต่าง ๆ ได้ละเอียด ลึกซึ้งกว่าปกติ ทำให้ HSP มีแนวโน้มที่จะมีความคิดสร้างสรรค์สูง คิดลึกซึ้ง มีประสาทรับสัมผัสที่ไวกว่าปกติ และรับรู้เข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นได้ดีเป็นพิเศษ 3 Brooding Tyre เมืองท่าที่เก่าแก่ของฟีนิเซีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเลบานอน) 4 Contemplative Sphinx สฟิงซ์ในตำนานอียิปต์ สื่อถึงปริศนาและภูมิปัญญา 5 Garden-girdled Babylon กรุงบาบิโลนที่มีชื่อเสียงเรื่องสวนลอยแห่งบาบิโลน หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
  • 11. -7 - ที่สุดในนิวอิงแลนด์ในรอบหลายปี จินตนาการของวิลค็อกซ์ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนที่เข้า นอน เขามีฝันที่แปลกประหลาดเห็นเมืองไซคลอปส์ขนาดใหญ่ที่สร้างจากบล็อกหินยักษ์และ เสาหินขนาดมหึมาทิ่มแทงฟ้าทุกอย่างเปรอะไปด้วยน้ำเมือกสีเขียวและแฝงความสยองขวัญน่า สะพรึงไว้ตัวหนังสืออียิปต์โบราณ ปกคลุมไปทั่วกำแพงและเสาจากจุดที่กำหนดไม่ได้เบื้องล่างมีเสียงที่ไม่ใช่เสียงดังขึ้นมาเป็น ความรู้สึกสับสนอลหม่านที่จินตนาการเท่านั้นที่สามารถแปลงเป็นเสียงได้แต่เขาพยายามถ่าย ทอดมันออกมาด้วยกลุ่มตัวอักษรที่แทบจะออกเสียงไม่ได้ว่า "คธูฮูลู ฟทากน" ข้อความปะปนนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นความทรงจำอันน่าตื่นเต้นและรบกวนจิตใจ ของศาสตราจารย์แองเจิล ท่านสอบถามประติมากรด้วยความพิถีพิถันในฐานะนักวิทยาศาสตร์ และศึกษาภาพนูนต่ำนูนสูงที่ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังปั้นอยู่อย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เขาตื่นขึ้นมา อย่างมึนงงในสภาพสวมเพียงชุดนอน ลุงของผมโทษวัยชราของเขา วิคค็อกซ์เล่าในภายหลัง ว่า เป็นสาเหตุที่ท่านช้าในการจำได้ทั้งอักษรโบราณและลวดลายภาพ ประเด็นคำถามจำนวนมาก ของท่านดูไร้สาระสำหรับแขกคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามที่พยายามเชื่อมโยงเขากับลัทธิ หรือนิกายลึกลับ และวิคค็อกซ์ไม่สามารถเข้าใจคำสัญญาลับที่ท่านเสนอซ้ำๆ เพื่อแลกกับการ ยอมรับว่าเป็นสมาชิกขององค์กรลึกลับ หรือนิกายนอกรีตที่แพร่หลาย เมื่อศาสตราจารย์แอง เจิลแน่ใจว่าประติมากรไม่ได้รู้จักลัทธิหรือระบบความรู้ลึกลับใดๆ ท่านก็รบเร้าแขกด้วยการขอ รายงานความฝันในอนาคต สิ่งนี้เกิดผลเป็นประจำ เพราะหลังจากการพบกันครั้งแรก บันทึก ต้นฉบับระบุว่าชายหนุ่มมาเยี่ยมทุกวัน ในระหว่างนั้น เขาเล่าเรื่องราวภาพฝันยามค่ำคืนที่น่า สะพรึง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือทิวทัศน์ไซคลอปอันน่าสยดสยอง ประกอบด้วยหินกร้านมืดและ เปียกชุ่ม มีเสียงหรือสติปัญญาใต้ดินตะโกนซ้ำซากอย่างน่าขนลุก โดยสื่อความหมายที่ คลุมเครือจนไม่อาจบันทึกได้นอกเสียจากจะเป็นคำไร้สาระ เสียงที่เกิดซ้ำบ่อยที่สุดสองเสียง คือ เสียงที่แทนด้วยตัวอักษร "คธึลฮู" และ ริเลย์ (R’lyeh) " ในบันทึกที่เขียนไว้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ระบุว่า วิลค็อกซ์ไม่มาตามนัด และจากการสอบถามไป ยังที่พัก พบว่าเขาป่วยด้วยไข้ประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถระบุได้ และถูกพาไปยังบ้านครอบครัว ของเขาที่ถนนวอเตอร์แมน เขาละเมอในตอนกลางคืน ปลุกให้ศิลปินคนอื่นๆ ในอาคารตื่นขึ้น นับจากนั้น เขาก็แสดงอาการหมดสติและเพ้อสลับกันไป โทรศัพท์ถึงครอบครัวของเขาและ ติดตามอาการของเขาอย่างใกล้ชิด โดยหมอที่รักษาคือนายแพทย์โทบี้ ซึ่งลุงของผมได้ติดต่อ สอบถามอาการบ่อยครั้ง
  • 12. -8 - ดูเหมือนว่าจิตใจที่อ่อนล้าของชายหนุ่มผู้นี้กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งแปลกประหลาด และหมอก็รู้สึก หวาดกลัวเป็นครั้งคราวเมื่อพูดถึงมัน อาการของชายหนุ่มไม่เพียงแต่รวมถึงการพูดถึงสิ่งที่เขา ฝันถึงก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ยังพูดอย่างคลุ้มคลั่งถึงสิ่งมีชีวิตมหึมา "สูงหลายไมล์" ที่เดินหรือ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอีกด้วย เขาไม่เคยบรรยายถึงสิ่งมีชีวิตนี้อย่างละเอียด แต่คำพูดที่บ้า คลั่งเป็นช่วงๆ ถูกถ่ายทอดซ้ำโดยนายแพทย์โทบี้ ซึ่งทำให้ลุงของผมเชื่อว่าต้องเป็นสัตว์ ประหลาดไร้ชื่อตัวเดียวกันกับที่หลานของเขาพยายามสื่อออกมาทางรูปปั้นในฝัน คุณหมอเสริม ว่าการอ้างอิงถึงสิ่งมีชีวิตนี้มักจะเป็นช่วงก่อนที่ชายหนุ่มจะหมดสติไป สิ่งที่แปลกคืออุณหภูมิ ร่างกายของเขากลับไม่สูงเกินกว่าระดับปกติมากนัก แต่อาการโดยรวมบ่งชี้ว่าเขาเป็นไข้ มากกว่าที่จะมีปัญหาทางจิต ในวันที่ 2 เมษายน เวลาประมาณบ่ายสามโมง อาการเจ็บป่วยของวิลค็อกซ์ได้หายไปอย่าง กะทันหัน เขานั่งตัวตรงบนเตียงด้วยความประหลาดใจที่พบว่าตัวเองอยู่ที่บ้านโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งในฝันหรือในความเป็นจริง ตั้งแต่คืนวันที่ 22 มีนาคม แพทย์ประกาศว่าเขา หายดีแล้วและเขาได้กลับไปยังที่พักอาศัยภายในสามวัน แต่สำหรับศาสตราจารย์แองเจิลล์แล้ว วิลค็อกซ์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมได้อีกต่อไป ร่องรอยของความฝันแปลก ๆ ได้ หายไปพร้อมกับอาการป่วยของเขา และลุงของผมก็ไม่ได้เก็บข้อมูลบันทึกความคิดตอน กลางคืนหลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภาพนิมิตธรรมดา ๆ ที่ไม่มีสาระสำคัญอะไร เนื้อหาต้นฉบับจบลงตรงนี้ แต่การอ้างอิงถึงบันทึกโน๊ตที่กระจัดกระจายบางส่วนกระตุ้น ความคิดของผมมากมาย – มากมายจนในความเป็นจริง แล้วเฉพาะความคลางแคลงใจที่ฝังราก ลึก ซึ่งขณะนั้นกำลังก่อตัวเป็นปรัชญาของผม เท่านั้นที่สามารถอธิบายความไม่ไว้วางใจศิลปินผู้ นี้ต่อไปได้ โน้ตที่เป็นประเด็นคือโน้ตที่บรรยายความฝันของบุคคลต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกันกับ ที่วิลค็อกซ์หนุ่มได้รับประสบการณ์แปลกประหลาด ดูเหมือนว่าลุงของผมได้ดำเนินการ สอบถามอย่างรวดเร็วในวงกว้าง ไปยังเพื่อนเกือบทุกคนที่เขาสามารถถามได้โดยไม่เสียมารยาท ขอรายงานความฝันประจำคืนของพวกเขา และวันที่ของภาพนิมิตที่สำคัญใดๆ ในช่วงเวลาที่ ผ่านมา การตอบรับคำขอของเขาดูเหมือนจะแตกต่างกันไป แต่เขาน่าจะได้รับคำตอบมากกว่า ที่คนธรรมดาคนไหนจะจัดการได้โดยไม่ต้องมีเลขานุการ บันทึกการติดต่อฉบับแรกไม่ได้รับการ เก็บรักษาไว้ แต่โน้ตของเขารวบรวมเนื้อหาที่ครบถ้วนและมีความสำคัญจริงๆ คนทั่วไปในสังคม และธุรกิจ - "แก่นแท้ของแผ่นดิน" แบบดั้งเดิมของนิวอิงแลนด์ - ให้ผลลัพธ์ที่เป็นลบเกือบ ทั้งหมด แม้จะมีกรณีประปรายของความประทับใจยามค่ำคืนที่ไม่สบายใจแต่ไร้รูปแบบ ปรากฏ อยู่ประปราย เสมอระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึง 2 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่วิลค็อกซ์หนุ่มมีอาการ เพ้อ นักวิทยาศาสตร์ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเล็กน้อย แม้ว่าจะมีสี่กรณีที่มีคำอธิบายคลุมเครือ
  • 13. -9 - บ่งบอกถึงเงามืดสลัวๆ ของภูมิทัศน์แปลกประหลาด และในกรณีหนึ่งมีการกล่าวถึงความกลัว บางสิ่งที่ผิดปกติ คำตอบที่ชัดเจนกลับกลายเป็นมาจากเหล่าศิลปินและนักกวี และผมรู้ว่าความตื่นตระหนกคง จะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายหากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ไม่มีจดหมายต้นฉบับของพวกเขา ผมสงสัยครึ่งๆ กลางๆ ว่าผู้รวบรวมข้อมูลอาจตั้งคำถามนำ หรือแก้ไขจดหมายโต้ตอบเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เขาตั้งใจไว้เบื้องต้น นั่นคือเหตุผลที่ผมยังคงรู้สึกว่า วิลค็อกซ์ ด้วยเหตุผลบางประการ ที่รับรู้ข้อมูลเก่าที่ลุงของผมมีอยู่นั้น กำลังหลอกลวง นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอยู่ คำตอบเหล่านี้จากนักสุนทรียศาสตร์เล่าเรื่องราวที่น่ารำคาญ ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 2 เมษายน ศิลปินและนักกวีจำนวนมากฝันถึงสิ่งแปลก ประหลาด ความรุนแรงของความฝันนั้นรุนแรงขึ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในช่วงที่ประติมากรมี อาการเพ้อ ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ที่รายงานอะไรบางอย่าง รายงานภาพและเสียงเบาๆ ไม่ต่าง จากสิ่งที่วิลค็อกซ์อธิบาย และผู้ฝันบางคนสารภาพว่ากลัวสิ่งไร้ชื่อขนาดยักษ์ที่มองเห็นได้ในช่วง หลัง กรณีหนึ่ง ซึ่งบันทึกย่ออธิบายไว้ด้วยความเน้นย้ำนั้นน่าเศร้ามาก บุคคลนั้นเป็นสถาปนิกที่ มีชื่อเสียงซึ่งมีความโน้มเอียงไปทางเทวโซฟีและลัทธิความลับ ได้กลายเป็นบ้าอย่างรุนแรงใน วันที่วิลค็อกซ์มีอาการชัก และเสียชีวิตไปหลายเดือนต่อมาหลังจากกรีดร้องขอให้ช่วยเหลือจาก ปีศาจที่หลุดออกมาจากนรก หากลุงของผมอ้างถึงกรณีเหล่านี้ด้วยชื่อแทนที่จะใช้แค่หมายเลข ผมคงจะพยายามยืนยันข้อมูลและสืบสวนด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากเป็นเช่นนั้น ผมจึงสามารถ ติดตามได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยืนยันบันทึกย่อได้อย่างครบถ้วน ผม มักจะสงสัยอยู่เสมอว่า บุคคลทั้งหมดที่ถูกศาสตราจารย์ซักถาม รู้สึกสับสนเหมือนกับกลุ่ม ตัวอย่างนี้หรือไม่ เป็นการดีที่คำอธิบายใดๆ จะไม่มีวันไปถึงพวกเขา ตามที่ผมได้ใบ้ไปแล้ว บทความตัดแปะจากหนังสือพิมพ์ ได้กล่าวถึงกรณีของอาการตื่น ตระหนกหมู่, ความคุ้มคลั่ง และพฤติกรรมแปลกประหลาด ในช่วงเวลาดังกล่าว แน่นอนว่า ศาสตราจารย์แองเจิล คงต้องใช้บริการบริษัทเก็บรวบข่าวตัด เพราะจำนวนบทความนั้น มหาศาล และแหล่งที่มาอยู่กระจัดกระจายไปทั่วโลก ที่ลอนดอน มีข่าวคราวการฆ่าตัวตายยามค่ำคืน ชายผู้เดียวดึงตัวกระโดดออกจากหน้าต่าง หลังจากร้องเสียงกรี๊ดน่ากลัว เช่นเดียวกันกับจดหมายไร้สาระที่ส่งถึงบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ในอเมริกาใต้ ผู้คลั่ง ศาสนาผู้นี้ทำนายอนาคตที่เลวร้ายจากภาพนิมิตที่เขาเห็น
  • 14. -10 - ▪ รายงานจากแคลิฟอร์เนีย บรรยายถึงชุมชนลัทธิเทวโซฟี ที่สวมชุดขาวกันทั้งหมู่ เพื่อ รอคอย “ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์” ที่ไม่เคยมาถึง ขณะที่ข่าวจากอินเดีย รายงานอย่าง ปิดบังเกี่ยวกับความไม่สงบของชาวพื้นเมืองอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนมีนาคม ▪ พิธีกรรมลึกลับของลัทธิวูดูมีเพิ่มมากขึ้นในเฮติ และป้อมปราการต่างๆ ในแอฟริกา รายงานเสียงบ่นพึมพำที่ไม่เป็นลางดี ▪ เจ้าหน้าที่อเมริกันในฟิลิปปินส์ พบว่าบางเผ่าก่อความรำคาญในช่วงเวลานี้ และตำรวจ นิวยอร์ก ถูกชาวเลเวนต์ (ชาวตะวันออกกลาง) ที่เป็นโรคฮิสทีเรียรุมล้อม ในคืนวันที่ 22-23 มีนาคม ▪ ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ ก็เต็มไปด้วยข่าวลือและตำนานที่แปลกประหลาด เช่นเดียวกับ Ardois-Bonnot จิตรกรแนวแฟนตาซี ชาวฝรั่งเศส ได้จัดแสดงภาพเขียน “Dream Landscape” ที่ดูหมิ่นศาสนา ในงานนิทรรศการศิลปะปารีส ฤดูใบไม้ผลิ ปี 1926 ▪ และมีรายงานเรื่องราวความเดือดร้อนมากมายในสถานพยาบาลโรคจิต เพียง ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะหยุดยั้งกลุ่มแพทย์จากการสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันที่แปลก ประหลาด และวาดข้อสรุปที่สับสน รวบรวมบทความแปลกประหลาดมากมาย; และ ในวันนี้ผมแทบจะนึกภาพความคิดเหตุผลที่ผมได้ทิ้งมันไว้ข้างหลังแต่ตอนนั้นไม่ออกเลย ผมได้แต่เชื่อมั่นว่าพ่อหนุ่มวิลค็อกซ์ คงจะรู้เรื่องราวเก่าๆ ที่ศาสตราจารย์ได้กล่าวถึง
  • 15. -11 - ตอนที่ 2 คดีของสารวัตรเลอกราสส์ เนื้อหาที่เหลือจากต้นฉบับยาวของลุงผม ซึ่งรูปปั้นและภาพนูนต่ำของประติมากรทำให้มี ความสำคัญนั้น เป็นหัวข้อในช่วงครึ่งหลังทั้งหมด ครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น ดูเหมือนว่า ศาสตราจารย์แองเจิล เคยเห็นภาพร่างอันน่าสยดสยองของสัตว์ประหลาดไร้ชื่อ สับสนกับ อักษรโบราณที่ไม่รู้จัก และได้ยินพยางค์อักษรที่ไม่เป็นมงคล ซึ่งแปลได้เพียงว่า “คธึลฮู” เท่านั้น; และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงที่น่าหวั่นไหวและน่ากลัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ เขาไล่ล่าวิลค็อกซ์หนุ่มด้วยคำถามและความต้องการข้อมูล ประสบการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1908 สิบเจ็ดปีก่อนหน้านั้น เมื่อสมาคมโบราณคดี อเมริกันจัดการประชุมประจำปีที่เซนต์หลุยส์ ศาสตราจารย์แองเจิล ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิและ ความสำเร็จที่เหมาะสม มีบทบาทสำคัญในทุกการพิจารณา; และเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ถูก ติดต่อจากคนนอกหลายคนที่ใช้ประโยชน์จากการประชุมเพื่อเสนอคำถามสำหรับการตอบที่ ถูกต้องและปัญหาสำหรับการแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญ บุคคลสำคัญของคนนอกกลุ่มนี้ และกลายเป็นจุดสนใจของการประชุมในเวลาอันรวดเร็ว คือ ชายวัยกลางคนรูปลักษณ์ธรรมดา เดินทางมาไกลตั้งแต่ นิวออร์ลีนส์ เพื่อต้องการข้อมูลพิเศษ บางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากแหล่งท้องถิ่น ชายคนนี้ชื่อ จอห์น เรย์มอนด์ เลอแกรส เป็น อาชีพสารวัตรตำรวจ เขามาพร้อมกับสิ่งของที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของเขา นั่นคือรูป ปั้นหินโบราณที่น่าขยะแขยะน่าสะพรึงใจ ไร้ที่มาที่ไปชัดเจน อย่าเข้าใจผิดว่าสารวัตรเลอแกรส สนใจโบราณคดีเลย ตรงกันข้าม ความต้องการคำอธิบายของเขามีแรงจูงใจมาจากเหตุผลด้าน การทำงาน ล้วนๆ รูปปั้น รูปเคารพ วัตถุมงคล หรืออะไรก็ตามที่มันเป็น ถูกยึดมาได้หลาย เดือนก่อนหน้านี้ บริเวณป่าพรุทางใต้ของนิวออร์ลีนส์ ระหว่างการเข้าจู่โจมลัทธิบูดูที่คาดว่าจะ มีพิธีกรรม และพิธีกรรมที่แปลกประหลาดน่าสยดสยองที่เกี่ยวข้องกับมัน ทำให้ตำรวจไม่ สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาบังเอิญไปเจอกับลัทธิอันมืดมิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และชั่วร้ายยิ่ง กว่าแม้กระทั่งกลุ่มบูดูของแอฟริกาที่เลื่องลือในความมืดมน นอกเหนือจากเรื่องเล่าที่แปลก ประหลาดและไม่น่าเชื่อถือซึ่งบังคับเอามาจากสมาชิกที่ถูกจับกุม พวกเขาไม่สามารถค้นพบ อะไรเกี่ยวกับที่มาของมันได้เลย ดังนั้นความวิตกกังวลของตำรวจจึงอยู่ที่ความรู้ด้าน
  • 16. -12 - โบราณวัตถุใดๆ ที่อาจช่วยให้พวกเขาสามารถระบุสัญลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้ และผ่านมัน ไปสู่การติดตามลัทธิไปจนถึงต้นตอ สารวัตรเลอกราสส์แทบตั้งตัวไม่ติดกับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหลังจากที่ยื่นสิ่งของนั้นออกไป เพียงแค่เห็นมันแวบเดียว บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็ตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวขั้นสุด และพวก เขาไม่รอช้าที่จะเบียดเสียดกันเข้ามาดูร่างอันเล็กน้อยนั้น ความแปลกประหลาดและกลิ่นอาย แห่งยุคโบราณที่อธิบายไม่ได้ ได้บ่งบอกถึงดินแดนลึกลับและโบราณที่ยังไม่มีใครค้นพบ ไม่มี รูปแบบการแกะสลักใดที่สามารถจำแนกรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของรูปปั้น แต่ดูเหมือนจะ มีอายุย้อนไปนับหลายศตวรรษหรือกระทั่งพันปีที่ถูกจารึกไว้บนพื้นผิวหินสีเขียวคล้ำที่ไม่อาจ ระบุที่มาได้ รูปปั้นนั้นถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างช้าๆ เพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาอย่างใกล้ชิด และละเอียด รูปปั้นนี้มีความสูงประมาณเจ็ดถึงแปดนิ้ว ผลงานศิลปะประณีตบรรจงอย่างยิ่ง มันแสดงถึงสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์อย่างเลือนลาง แต่มีหัวเหมือนปลาหมึก หน้า เป็นมวลของหนวด เส้นผมเป็นเกล็ด ดูคล้ายยางพารา ลำตัวอ้วนพี มีกรงเล็บขนาดมหึมาทั้ง เท้าหน้าและเท้าหลัง ปีกยาวแคบอยู่ด้านหลัง สิ่งมีชีวิตนี้ดูเหมือนเต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่น่า กลัวและผิดธรรมชาติ มันมีรูปร่างอ้วนพีและยองกายอย่างชั่วร้ายอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยมหรือแท่น ประดับด้วยตัวอักษรที่ถอดรหัสไม่ได้ ปลายปีกแตะขอบด้านหลังของแท่น ที่นั่งอยู่ตรงกลาง ในขณะที่กรงเล็บยาวโค้งของขาหลังที่งอและหมอบอยู่ จับขอบด้านหน้าและยื่นลงมาประมาณ หนึ่งในสี่ของด้านล่างของแท่น หัวคล้ายปลาหมึกโน้มไปข้างหน้า ทำให้ปลายหนวดสัมผัสกับ หลังเท้าหน้าขนาดใหญ่ที่กอดเข่าของสิ่งมีชีวิตที่หมอบอยู่ ลักษณะโดยรวมนั้นเหมือนมีชีวิต ผิดปกติ และน่ากลัวยิ่งขึ้นเพราะแหล่งที่มาของมันไม่เป็นที่รู้จักเลย อายุที่เก่าแก่ มหาศาล น่า เกรงขาม และประเมินค่ามิได้นั้นชัดเจน; แต่ไม่มีส่วนใดที่แสดงความเชื่อมโยงกับศิลปะ ประเภทใดที่เป็นที่รู้จักในช่วงวัยเยาว์ของอารยธรรม หรือแม้กระทั่งในยุคอื่น วัสดุของมันแยก ออกจากกันโดยสิ้นเชิง เป็นปริศนา หินสีดำอมเขียว สบู่ มีลายเส้นและรอยขีดสีทองหรือ เหลือบรุ้ง ซึ่งไม่เหมือนกับสิ่งใดที่คุ้นเคยในแวดวงธรณีวิทยาหรือแร่วิทยา ตัวอักษรตามฐานนั้น ก็สร้างความสับสนเช่นกัน ไม่มีสมาชิกคนใดที่ปรากฏ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ ครึ่งหนึ่งของโลกในด้านนี้อยู่ด้วย แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะนึกถึงความสัมพันธ์ทางภาษาที่ ห่างไกลที่สุดได้ ตัวอักษรเหล่านั้น เช่นเดียวกับเนื้อหาและวัสดุ ล้วนเป็นของบางสิ่งที่ห่างไกล และแตกต่างจากมนุษยชาติอย่างที่เรารู้จักอย่างน่ากลัว บางสิ่งที่ชวนให้นึกถึงวัฏจักรชีวิต เก่าแก่และไม่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งโลกของเราและความคิดของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
  • 17. -13 - แม้ว่าทุกคนต่างส่ายหัว ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อปริศนาของสารวัตร แต่ในกลุ่มนั้นมีชายคน หนึ่งสงสัยว่า รูปร่างและตัวเขียนอันน่าสยดสยองนั้น มีความคุ้นเคยแปลกประหลาด เขาเล่า เรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนรู้ด้วยความลังเลเล็กน้อยบุคคลผู้นี้คือ ศาสตราจารย์วิลเลียม แช นนิง เว็บบ์ นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และนักสำรวจผู้มีชื่อเสียงผู่วงลับ สี่สิบ แปดปีก่อน ศาสตราจารย์เว็บบ์ เดินทางไปกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ เพื่อค้นหาจารึกอักษรรูน โบราณ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ระหว่างการสำรวจชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์ เขา ได้พบกับชนเผ่าหรือลัทธิบูชาปีศาจแปลกประหลาด พวกเอสกิโมกลุ่มนี้มีศาสนาอันแปลก ประหลาด คือการบูชารูปปั้นปีศาจ ซึ่งสร้างความสยดสยองและสะพรึงกลัวให้แก่ศาสตราจารย์ เว็บบ์ ด้วยความกระหายเลือดและน่ารังเกียจอย่างโจ่งแจ้ง ศาสนานี้เป็นสิ่งที่เอสกิโมกลุ่มอื่น รู้จักน้อยมาก พวกเขาพูดถึงมันด้วยความหวาดกลัว เล่าว่ามันสืบทอดมาจากยุคโบราณอันน่า ลึกลับตั้งแต่ก่อนโลกถือกำเนิด ดูช่างสยองขวัญยิ่งนัก นอกจากพิธีกรรมลึกลับที่ไร้ชื่อ และการ สังเวยมนุษย์แล้ว ยังมีพิธีกรรมประจำตระกูลบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมุ่งสู่ปีศาจผู้เฒ่าผู้ ยิ่งใหญ่ หรือ เทอร์นาซุก ศาสตราจารย์เว็บบ์ บันทึกสำเนียงการสวดอย่างพิถีพิถัน จากคำบอก เล่าของ แองกู๊ค หรือ นักบวชผู้ทรงเวทมนตร์ชรา เขาใช้ตัวอักษรโรมันแทนเสียงตามความ เข้าใจที่ดีที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือวัตถุมงคลที่ลัทธิบูชานี้หวงแหน พวกเขาเต้นรำรอบวัตถุนี้ เวลาที่ แสงออโรราพุ่งสูงเหนือหน้าผาน้ำแข็ง Jan-Led6 ศาสตราจารย์เว็บบ์ กล่าวว่า มันเป็นรูปสลัก หินนูนต่ำที่หยาบมาก ประกอบไปด้วยภาพวาดที่น่าสยดสยองและตัวเขียนลึกลับ เท่าที่เขา พิจารณา ดูเหมือนว่ามันมีความคล้ายคลึงกันอย่างหยาบๆ ในทุกๆ ด้านที่สำคัญ กับสิ่งชั่วร้ายที่ วางอยู่ตรงหน้าที่ประชุมนี้ ข้อมูลนี้ซึ่งเหล่าบรรดาสมาชิกได้รับด้วยความระทึกใจและความประหลาดใจ ได้พิสูจน์แล้วว่า น่าตื่นเต้นเป็นสองเท่าสำหรับผู้ตรวจการเลอกลาสส์; และเขาก็เริ่มที่จะสอบถามผู้ให้ข้อมูลด้วย คำถามต่างๆ ในทันที โดยที่เขาได้สังเกตเห็นและคัดลอกบทสวดของลัทธิบูชาสิ่งมีชีวิตในหนอง น้ำเอาไว้ ซึ่งคนของเขาได้จับกุมไป เขาจึงวิงวอนให้ศาสตราจารย์ระลึกให้ได้มากที่สุดถึงพยางค์ ที่ได้บันทึกไว้ท่ามกลางหมอผีชาวเอสกิโมที่บูชาปีศาจ7 จากนั้นก็ได้มีการเปรียบเทียบ รายละเอียดต่างๆ8 อย่างถี่ถ้วนและช่วงเวลาของความเงียบที่น่าเกรงขามจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อทั้ง 6 Jan-led เป็นคำภาษาอาหรับที่ตรงกับคำว่า "หน้าผาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง" มากที่สุด 7 นายตำรวจและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าพิธีกรรมที่แยกห่างกันอย่างมากมาย ทั้งที่ของชาวเอสกิโมและนักบวชแห่งหลุยเซียน่ากลับมีการร่ายมนต์แบบเดียวกันอย่าง น่าประหลาดใจ 8 การค้นพบนี้บ่งบอกถึงลัทธิที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกลับ ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบความเชื่อแบบโบราณที่แผ่ขยายและแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมหลายๆแห่ง
  • 18. -14 - นักสืบและนักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นด้วยกับตัวตนเสมือนจริงของวลีที่เหมือนกันในพิธีกรรมชั่ว ร้ายทั้งสองที่แยกจากกันโดยระยะทางหลายโลก สิ่งที่สำคัญก็คือ ทั้งหมอผีชาวเอสกิโมและ นักบวชในบึงหลุยเซียน่า ต่างได้สวดให้กับเทพที่คล้ายๆ กันด้วยอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน มากๆ —การแบ่งคำเป็นการคาดเดาจากช่วงแบ่งแบบดั้งเดิมในวลีของบทสวดที่สวดออกมา ดังๆ: “Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn9.” สารวัตรเลอกราสส์แทบมีข้อได้เปรียบเหนือศาสตราจารย์เว็บบ์อยู่เรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเพราะ นักโทษชาวพื้นเมืองหลายคนได้พูดซ้ำสิ่งที่นักประกอบพิธีรุ่นเก่าเคยบอกถึงความหมายของคำ เหล่านั้น โดยข้อความที่ได้รับมีใจความประมาณว่า: “ในบ้านของพระองค์ ณ ริเลย์ คธูลูผู้ สิ้นชีพยังคงรอคอยอยู่ในห้วงฝัน” และในตอนนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการอย่างเร่งด่วนและแพร่หลาย ผู้ตรวจการ สารวัตร เลอกราสส์ได้เล่าประสบการณ์ของเขากับเหล่าผู้นับถือลัทธิในหนองน้ำได้อย่างละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้ โดยบอกเล่าเรื่องราวที่ผมสัมผัสได้ว่าลุงของผมให้ความสำคัญอย่างลึกซึ้ง เรื่องราวดังกล่าวมีกลิ่นอายของความฝันอันแสนประหลาดของผู้แต่งตำนานและนักเทววิทยา เปิดเผยถึงระดับจินตนาการเกี่ยวกับจักรวาลที่น่าประหลาดใจในหมู่คนเชื้อสายผสมและพวกที่ ถูกขับไล่ ซึ่งน้อยคนจะคาดคิดว่าพวกเขาจะมีสิ่งนั้น ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1907 กองตำรวจนิวออร์ลีนส์ได้รับการร้องขออย่างเร่งด่วนจาก แถบหนองน้ำและทะเลสาบทางตอนใต้ เหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานที่นั่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานนิสัยดี แต่ยังคงมีความดั้งเดิมของลูกน้องลาฟิตต์ ต่างหวาดกลัวสุดขีดกับสิ่งลึกลับที่โผล่มาหาพวกเขา ในยามค่ำคืน เห็นได้ชัดว่านี่คือลัทธิวูดู ทว่ามีความน่าสะพรึงกลัวกว่าที่พวกเขาเคยพบเจอ และ มีผู้หญิงกับเด็กบางคนหายไปหลังจากเสียงกลองทอม-ทอมที่ชั่วร้ายเริ่มดังก้องอยู่ลึกเข้าไปใน ป่าดำอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยงเข้าไป มีเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งและเสียงกรีดร้อง ที่สะเทือนใจ บทสวดที่ทำให้จิตวิญญาณหนาวสั่นและเปลวเพลิงของปีศาจที่เต้นระบำ ผู้ส่ง สารที่ตกใจกลัวกล่าวเสริมว่าชาวบ้านทนไม่ไหวอีกแล้ว หน่วยตำรวจจำนวนยี่สิบนาย พร้อมด้วยรถสองคันและรถยนต์หนึ่งคัน ได้ออกเดินทางในตอน บ่ายแก่ๆ โดยมีชายร่างผอมโซผู้หวาดผวาเป็นผู้นำทาง เมื่อถึงจุดที่รถไม่สามารถแล่นไปได้อีก พวกเขาลงจากรถและเดินลุยอย่างเงียบเชียบไปหลายไมล์ภายในป่าไซปรัสอันน่าสะพรึงกลัวซึ่ง แสงตะวันไปไม่ถึง พวกเขาพบเห็นรากไม้ที่บิดเบี้ยวน่าเกลียดและตะไคร่น้ำแบบต้นมอสสาย 9 ฟะทักน์
  • 19. -15 - พันธ์สเปน (Spanish Moss) ห้อยระย้าเป็นปมคล้ายบ่วง สร้างความหวาดกลัว ทุกครั้งที่เจอ กองหินชื้นๆ หรือชิ้นส่วนของกำแพงผุพัง ความทึบนี้ราวกับซ่อนเร้นการมีอยู่สิ่งชั่วร้ายไว้ ซึ่ง ต้นไม้ผิดรูปทุกต้น และดงเห็ดทุกกอต่างร่วมกันก่อเกิดความกดดันนี้ขึ้น ในที่สุด กลุ่มบ้านเรือนโทรมๆ อันเป็นที่อยู่ของผู้อยู่อาศัยที่ลี้ภัยมา ก็ปรากฏในสายตา เหล่า ชาวบ้านที่หวาดวิตกพากันวิ่งกรูออกมาล้อมรอบกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ถือตะเกียงแสงริบหรี่ เสียง กลองทัมทัมที่ห่อผ้าปิดไว้ ดังทึบเบาๆ กังวาลมาจากที่ไกลโพ้น ส่วนเสียงกรีดโหยหวนก็ลอยมา กับสายลมเป็นระยะ ราวกับว่ามีแสงสีแดงอำพันเรื่อๆ ลอดออกมาผ่านเถาวัลย์ของพุ่มไม้ ไป ยังสุดปลายของเส้นทางป่าที่ดำมืดไม่รู้จบ เหล่าผู้อยู่อาศัยลี้ภัยหวาดกลัวเกินกว่าจะแม้แต่ถูก ทิ้งไว้ตามลำพัง ไม่มีผู้ใดกล้าอาสาเดินหน้าต่อไปอีกแม้แต่ก้าวเดียวเพื่อไปยังจุดที่มีการบูชาสิ่ง ชั่วร้าย ดังนั้น ผู้ตรวจการเลอกลาสและตำรวจอีกสิบเก้านายจึงต้องฝ่าความมืดเข้าไปสู่เขตหวง ห้ามอันน่าสะพรึงที่ไม่มีผู้ใดเคยย่างกรายมาก่อน พื้นที่ซึ่งเหล่าตำรวจได้เข้ามายังนี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความชั่วร้ายมาแต่โบราณ แทบไม่มีคน ขาวกล้าสำรวจ มีตำนานเล่าถึงทะเลสาบลึกลับที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็น เป็นที่อยู่อาศัยของ สิ่งมีชีวิตสีขาวขนาดใหญ่ไร้รูปร่างมีนัยน์ตาเรืองแสง ชาวบ้านเล่ากันปากต่อปากว่ามีปีศาจติด ปีกค้างคาวบินขึ้นมาจากถ้ำใต้ดินเพื่อบูชาสิ่งมีชีวิตนี้ในยามเที่ยงคืน ว่ากันว่า สิ่งนี้อยู่มาตั้งแต่ ก่อนยุค D'lberville ก่อน La Salle ก่อนที่ชนพื้นเมืองจะมาตั้งรกราก หรือแม้แต่ก่อนหน้าที่ บรรดาสัตว์ป่าจะปรากฏตัว มันคือฝันร้ายในคราบความจริง ใครเห็นเป็นต้องตาย แต่มันทำให้ ผู้คนฝันได้ พวกชาวบ้านจึงรู้ว่าต้องอยู่ให้ห่าง พิธีบูชาในครั้งนี้เกิดขึ้นตรงขอบของพื้นที่ต้องห้าม ก็จริง แต่แค่ตรงขอบๆ ก็ถือว่าเลวร้ายเกินพอ นั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมชาวบ้านถึงกลัว สถานที่บูชามากกว่าแม้แต่เสียงโหยหวนอันน่าตื่นตระหนกและเหตุการณ์สยองขวัญทั้งหลาย บทกวีหรือความบ้าคลั่งเท่านั้นที่จะบรรยายเสียงที่ลูกน้องของเลอกราสส์ได้ยิน ขณะที่พวกเขา พายเรือฝ่าหนองน้ำอันดำมืดมุ่งหน้าสู่แสงแดงเรืองโรจน์และเสียงกลองทับเบา ๆ ที่เลือนราง มี เสียงร้องที่แปลกประหลาด ทั้งเสียงของมนุษย์และเสียงของสัตว์ป่า การได้ยินเสียงแบบนั้นจาก แหล่งที่มาที่ควรจะเป็นอีกแบบนั้น มันช่างน่าสยองขวัญ เสียงคำรามของสัตว์ป่าปนเปกับเสียง ร้องโหยหวนอันเร่งเร้ากวัดแกว่งไปสู่ความบ้าคลั่งของปีศาจ พวกมันกรีดร้องและส่งเสียงร้อง อันบ้าคลั่งวิปลาส ดังก้องกังวาลไปทั่วป่าทึมราวกับพายุแห่งโรคระบาดจากนรก พักหนึ่ง เสียง โหวกเวกที่ไม่เป็นระเบียบก็หยุดลง จากนั้น เสียงร้องประสานอันทรงพลังราวกับได้รับการ ฝึกฝน ก็ดังขึ้นพร้อมกับบทสวดอันน่าสะพรึงกลัว: “Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn.”
  • 20. -16 - เมื่อพวกเขาไปถึงจุดที่ต้นไม้โปร่งขึ้น ฉากอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทันใดนั้นสี่คน ในกลุ่มล้มลง คนหนึ่งหมดสติ อีกสองคนส่งเสียงร้องโหยหวนจนโชคดีที่ความบ้าคลั่งของ พิธีกรรมนั้นกลบเสียงของพวกเขาไป เลอกราสส์รีบสาดน้ำจากหนองใส่หน้าคนที่หมดสติ ขณะที่ทุกคนยืนตัวสั่นด้วยความกลัวจนเกือบจะตกอยู่ในภวังค์ ท่ามกลางป่าที่เปิดโล่ง มีเกาะหญ้าที่แห้งพอสมควร ไม่มีต้นไม้และมีขนาดประมาณไร่เศษ ปรากฏฝูงชนที่ผิดรูปผิดร่างราวกับฝูงสัตว์ประหลาด พวกมันส่งเสียงร้อง โหยหวน และบิดตัว ไปมาล้อมรอบกองไฟขนาดมหึมา ซึ่งเผยให้เห็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางสูงราว แปดฟุต บนเสาหินนั้นวางรูปปั้นแกะสลักน่าสะอิดสะเอียนซึ่งดูไม่เข้ากันเลยกับขนาดที่เล็ก กะทัดรัดของมัน ศพของชาวบ้านที่โดนจับตัวไป ถูกแขวนหัวลงมาจากนั่งร้านสิบอันที่ตั้งล้อมรอบเสาหินและ กองไฟ กลุ่มสิ่งมีชีวิตเหล่านี้กระโดดโลดเต้นและส่งเสียงคำรามวนเวียนไปทางขวาอย่างไม่ สิ้นสุด เหมือนกับประกอบพิธีกรรมบูชาอันบ้าคลั่ง หนึ่งในทีม ซึ่งเป็นชาวสเปนผู้มีจินตนาการสูง คิดว่าเขาได้ยินเสียงตอบรับต่อพิธีกรรมนี้มาจาก จุดที่ลึกเข้าไปในป่าโบราณที่เต็มไปด้วยตำนานและความน่ากลัว ชายคนนี้มีนามว่า โจเซฟ ดี. กัลเวซ ผมได้พบและซักถามเขาในภายหลัง แต่ข้อมูลที่ได้นั้นค่อนข้างเชื่อถือไม่ได้เท่าไรนัก เขา ยังบอกอีกด้วยว่า ได้ยินเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ แวบหนึ่งได้เห็นดวงตาที่เปล่งประกาย และ ร่างสีขาวขนาดมหึมาอยู่ไกลออกไปหลังแนวต้นไม้ ผมคิดว่าเขาคงจะรับฟังเรื่องผีและตำนาน พื้นเมืองมามากเกินไป อาการตกตะลึงของเจ้าหน้าที่กินเวลาอันสั้น เพราะหน้าที่ต้องมาก่อน ถึงแม้จะมีฝูงปีศาจร่วม ร้อยตน พวกตำรวจก็ไม่ลังเลที่จะชักอาวุธปืนออกมายิงและบุกเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว ห้าาทีถัด มาเกิดความโกลาหลวุ่นวายเกินกว่าจะพรรณนาได้ มีการต่อสู้กัน การยิงปะทะ และการ หลบหนี สุดท้ายเลอกราสส์สามารถรวบตัวคนบ้าคลั่งในพิธีกรรมได้สี่สิบเจ็ดคน พวกมันถูก บังคับให้แต่งตัวและยืนเข้าแถวระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสองแถว ผู้เข้าร่วมพิธีถูกยิงตายห้าคน และต้องหามอีกสองคนที่บาดเจ็บหนักใส่เปลสนามไป รูปปั้นปีศาจบนเสาหินถูกรื้อลงอย่าง ระมัดระวัง และเลอกราสส์ขนมันกลับไปด้วย หลังจากพวกเขาถูกสอบสวนที่สำนักงานใหญ่ ในสภาพที่อ่อนล้าหลังจากเดินทางอันเต็มไปด้วย ความเครียด นักโทษทั้งหมดดูเป็นพวกเลือดผสมชั้นต่ำ และมีสภาพจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่